Colorful Your Pride: บันทึกตัวตนที่ไม่ต้องเหมือนใคร เพราะเราไม่ได้มีแค่สีเดียวในตัวเอง

“จงเป็นตัวของตัวเอง” คือคำกล่าวที่เรามักจะได้ยินกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ประโยคนี้ช่างฟังดูง่าย แต่ในความเป็นจริง อาจไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้า ‘เป็นตัวเอง’ ในโลกที่ยังมีคนถูกตัดสินจากเพศ สีผิว รูปร่าง หรือรสนิยม การกล้าแสดงตัวตนจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพื้นที่ให้แสดงออกได้อย่างเท่าเทียม แต่ท่ามกลางข้อจำกัดเหล่านั้น ก็มีผู้คนจำนวนมากที่สามารถเดินบนเส้นทางของตัวเองได้อย่างภาคภูมิ เพราะเราทุกคนต่างมี ‘เฉดสีของตัวเอง’ ไม่ว่าจะเป็นสีที่มาจากประสบการณ์ ความฝัน ความหวัง หรือความกลัว

บทความนี้อยากชวนทุกคนมาร่วมฟังเสียงจากนักศึกษาในสังคมแห่งความหลากหลายของมจธ. ที่จะมาบอกเล่าเฉดสีของตัวเองในแบบที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร บางเฉดอาจมีสีเขียวมรกต บางเฉดอาจมีสีฟ้าน้ำทะเลลึก และบางเฉดสีอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คน เพราะ Pride Month ไม่ใช่แค่การมีสัญลักษณ์สีรุ้ง หรือขบวนพาเหรด แต่ยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้ ‘ทุกคน’ ได้มาแสดงออกถึงตัวตนที่มี ‘หลากหลายเฉดสี’ อย่างเท่าเทียมและภาคภูมิใจ


อาร์ม – นวันธร บุญประเสริฐ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและการสื่อสารการศึกษา ปัจจุบันได้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยอาร์มเป็นคนที่ชอบทำงาน และชอบที่จะได้สื่อสารกับผู้คนผ่านรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม และความหลากหลายให้กับผู้คนทั้งในและนอกรั้วมจธ.

ใหม่ – กันต์กนิษฐ์ ทองศรีรักษ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์-มัลติมีเดียปัจจุบันได้ดำรงตำแหน่งอุปนายกฝ่ายสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ ของสโมสรนักศึกษาคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี โดยใหม่เป็นคนที่ชอบได้ลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อหาประสบการณ์ให้กับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน หรือการทำกิจกรรม และยังชอบที่จะตั้งเป้าหมายเพื่อให้ตนเองสามารถทำมันให้สำเร็จอยู่เสมอ

บีม – ยุทธพงศ์ วิเศษสังข์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สาขาวิชาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์-มัลติมีเดีย ปัจจุบันได้รับโอกาสในการปฏิบัติงานให้กับทุนจ้างงานจากมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 1 เทอม 2 จนถึงปัจจุบัน โดยบีมเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน ชอบที่จะได้ลองทำงานกราฟฟิก วิดีโอ หรือคอนเทนต์ในแนว Storytelling เพื่อพัฒนาตัวเองและหาความท้าทายใหม่ ๆ เพราะบีมเชื่อว่าทักษะที่ดีที่สุด จะมาจากการได้ลองจริง ทำจริง และเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้

มายด์ – บดีศร สิทธิคง นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (หลักสูตรภาษาอังกฤษ) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานักศึกษา และเคยเป็นรองประธานกรรมาธิการเฉพาะกิจสภานักศึกษาเพื่อศึกษาและเสนอแนะการปรับปรุงข้อบังคับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ว่าด้วย เครื่องแต่งกายนักศึกษา พ.ศ.2546 (กรรมาธิการแก้ไขระเบียบเครื่องแต่งกาย) โดยมายด์เป็นคนที่ชอบเรียนรู้ และอยากที่จะลองทำอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ อย่างการเขียนเว็บไซต์ที่มีทั้งการเขียนโค้ด และการออกแบบหน้าเว็บไซต์ ก็เป็นอีกหนึ่งด้านที่มายด์ถนัดและชอบทำ


ในมุมมองของเรา ความเท่าเทียมที่แท้จริงสำหรับ LGBTQ+ คิดว่าเป็นแบบไหน?

“มันคือการที่เราไม่ต้องขอโทษในสิ่งที่เราเป็น” คือประโยคที่บีม – ยุทธพงศ์ วิเศษสังข์ ได้กล่าวเอาไว้ ซึ่งบีมมองว่าการที่ตัวเราไม่ต้องมาคอยแคร์สายตา คำพูด หรือคำตัดสินจากคนอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้มันก็คือความเท่าเทียมที่ควรจะเป็น ‘เพราะเราทุกคนนั้นเหมือนกัน’

เฉกเช่นเดียวกับอาร์ม – นวันธร บุญประเสริฐ ที่มองว่าความเท่าเทียมที่แท้จริง ก็คือการที่ ‘ทุกคน’ สามารถเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ ได้ ‘เหมือนกัน’ โดยอาร์มก็ได้ยกตัวอย่าง สมรสเท่าเทียม ที่ในตอนนี้ได้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วในประเทศไทย ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จ และเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของสังคม อีกทั้ง อาร์มก็ยังได้กล่าวว่าความเท่าเทียม มันก็คือการที่ “ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยไม่ต้องไปนิยามว่าเขาคือ LGBTQ+”

“ความเท่าเทียมคือการไม่แบ่งแยก” คือมุมมองจากมายด์ – บดีศร สิทธิคง ที่มองว่าความเท่าเทียมก็คือการที่เราไม่ไปตัดสินว่าเขาเป็นอะไร มีรสนิยมแบบไหน และไม่ทำให้ต้องรู้สึกแปลกแยกออกมา โดยมายด์ยังได้กล่าวอีกว่า “เราไม่จำเป็นต้องนิยามเพศสภาพของใครมากมายขนาดนั้น” จากการที่ในปัจจุบันคำว่า LGBTQ+ มักจะมีคำย่อต่อท้ายเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ‘ทุกคนก็เหมือนกัน’

ซึ่งใหม่ – กันต์กนิษฐ์ ทองศรีรักษ์ ก็มีมุมมองคล้าย ๆ กัน ที่มองว่า LGBTQ+ ก็คือคนทั่ว ๆ ไป ที่สังคมไม่ควรตันสินว่าพวกเขาแปลกแยก หรือตีกรอบให้กับความแตกต่างเหล่านั้น และใหม่ยังได้กล่าวอีกว่า ความเท่าเทียมสำหรับใหม่ ก็คือการที่สังคม “ไม่ทำให้เราต้องพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นจากการที่เราเป็นเราในรูปแบบนี้”


คนมักจะพูดว่าการที่ LGBTQ+ กล้าออกมา Come Out ตัวเองมันคือความกล้าหาญ มันคือความกล้าจริง ๆ หรือสำหรับเราแล้วคิดว่ายังไง?

“ความกล้าหาญมันไม่ได้ถูกกำหนดว่าต้องออกมา Come Out อย่างเดียว” ใหม่ได้เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาหลังจากได้ฟังคำถาม เพราะในมุมของใหม่ ได้มองว่าความกล้าหาญมันขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละคนมากกว่า ว่าพวกเขาอยากที่จะแสดงออกมาในรูปแบบไหน “บางคนอาจจะแสดงออกมาด้วยการกล้าเป็นตัวเอง ไม่ฝืนตัวเอง และภูมิใจในตัวเอง แบบนี้แหละ…ที่ใหม่มองว่ากล้าหาญ”

สำหรับบีม ความกล้าหาญในการ Come Out คือการยอมรับความเสี่ยงที่อาจตามมา บีมได้กล่าวว่า “เราก็ต้องยอมรับความเสี่ยงให้ได้ ว่าถ้าบอกออกไปแล้ว สังคมจะยอมรับเราในส่วนนี้ได้หรือเปล่า” เพราะก่อนที่ตัวเราจะกล้าออกมาบอกสังคมว่าตัวเองเป็นใคร สิ่งแรกที่เราจะต้องเจอนั่นก็คือคนใกล้อย่างพ่อแม่ พี่น้อง และเพื่อน ๆ มาก่อน

โดยอาร์มได้สะท้อนมุมมองต่อความกล้าหาญว่า หากย้อนกลับไปในอดีต การที่ใครสักคนจะลุกขึ้นมาบอกสังคมว่าฉันเป็นใคร เป็นเรื่องที่แทบไม่เกิดขึ้น เพราะสังคมในเวลานั้นยังไม่เปิดกว้างเท่าปัจจุบัน แต่วันนี้เมื่อมีคนกล้าออกมาเป็นตัวของตัวเอง เพียงแค่หนึ่งเสียงนั้นก็สามารถส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ ได้ เช่นเดียวกับคุณเขื่อน ภัทรดนัย และคุณดัง พันกร ศิลปินชื่อดังที่กล้าเปิดเผยตัวตนอย่างมั่นใจ สิ่งเหล่านี้ก็คือภาพแทนของความกล้าหาญสำหรับอาร์ม

แม้ปัจจุบันสังคมจะเปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายมากขึ้น แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับ ซึ่งในมุมมองของมายด์มองว่าการกล้าออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยของตนเอง (Safe Zone) มันคือความกล้าหาญ ที่เรานั้นอยากให้ทุกคนยอมรับ และเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น มายด์ยังกล่าวอีกว่า หากวันหนึ่งทุกคนมองว่าความหลากหลายเป็นเรื่องปกติ การ Come Out ก็จะไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป — “ในวันที่สังคมยอมรับหมดแล้ว การ Come Out ก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไป”


ถ้าให้เปรียบตัวเองเป็นซีรีส์/หนังสักเรื่อง หรือเพลงสักเพลง คิดว่าตอนนี้เรื่องไหนหรือเพลงไหนเหมาะสุด?

แฟนผมเป็นประธานนักเรียนคือซีรีส์ที่อาร์มได้หยิบยกมาพูดถึง โดยอาร์มได้บอกว่าซีรีส์เรื่องนี้ทำให้นึกตัวเองในวัยมัธยมปลาย ที่ได้เคยมีความรักครั้งแรก ในตอนนั้นอาร์มได้ทำหน้าที่เป็นรองประธานนักเรียน และก็ได้มีโอกาสพบกับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งอาร์มรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ สำหรับความรัก และความทรงจำในช่วงวัยนั้นของตนเอง

เพลงดีใจรึเปล่า – Whal & Dolphเป็นเพลงที่ใหม่เลือกมาแชร์ให้กับทุกคนได้ฟัง ใหม่บอกว่าเพลงนี้ในมุมมองของใหม่ มันสามารถมองได้หลากหลายแง่มุมของความสัมพันธ์ ทั้งคนรัก หรือเพื่อน หรือครอบครัว เพลงได้กล่าวถึงความรัก และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่มีความจริงใจ และไม่ต้องกลัวที่จะเสียใจ ซึ่งใหม่รู้สึกว่ามันคือตัวเองในตอนนี้ ที่ได้รับความรักจากคนรอบข้าง และก็ได้มอบความรัก ความจริงใจให้กับคนรอบข้างเช่นเดียวกัน

เพลงถนนค้นฝัน ตั๊กแตน ชลดา คือเพลงที่บีมเลือกมาพูดถึง เนื่องจากเป็นเพลงที่บีมได้ยินมาตั้งแต่ตนเองยังเด็ก ๆ และเป็นเพลงที่ดี จึงทำให้เลือกเพลงนี้ขึ้นมา บีมบอกว่าเนื้อหาของเพลงได้บ่งบอกถึงอะไรหลาย ทั้งพูดถึงตัวเรา ทั้งพูดถึงความฝัน เพราะมันคือความฝันที่เราฝันอยากจะเป็น

เพลงQueendom – Red Velvet เป็นเพลงที่มายด์ได้เลือกมาแบ่งปันกับทุกคนในวันนี้ เพราะมายด์มองว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่อ่อนโยน แต่ก็กล้าที่จะลองทำอะไรใหม่ ๆ พร้อมเปิดรับทุกโอกาสที่เข้ามา เพื่อให้ตนเองได้ลองทำ และได้เรียนรู้ ดังนั้นเพลงนี้ จึงเป็นเพลงที่มายด์รู้สึกว่ามันเข้ากับตนเองมาก ๆ


แอบกระซิบสเปกที่ชอบได้ไหม ทรงแบบแว่นท็อปเจริญ หรือหมาเด็ก หมาแก่?

”ชอบคนที่เขามีทัศนคติที่เข้ากับเราได้ ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น” คือคำตอบของมายด์เมื่อได้ยินคำถามนี้ และมายด์ยังได้บอกอีกว่า “ขอแค่เขาน่ารักสำหรับเรา” โดยได้ขยายความประโยคนี้ว่าหมายถึง ขอแค่เขาคนนั้นน่ารักในมุมมองที่มายด์ได้มองเขา เพราะความน่ารักในสายตาของมายด์ หมายถึงความพิเศษที่ได้เห็นในตัวของคน ๆ นั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบไหนก็ตาม

“ชอบใครก็ได้ ที่เขาชอบเรา” อาร์มกล่าวขึ้นและหัวเราะ อาร์มบอกว่าสำหรับ First Impression ก็คงชอบที่เขาอาจเป็นหนุ่มตี๋ หรือหมาเด็ก หรือหนุ่มทรงแบบแว่นท็อปเจริญ (คำศัพท์วัยรุ่นที่หมายถึง หนุ่มหล่อ ใส่แว่น และตัวท็อป) แต่อาร์มก็ยังบอกอีกว่า “สุดท้ายแล้ว ถ้าได้คุยกับใครแล้วรู้สึกว่าคลิกกัน ก็คงจะชอบเขาคนนั้น”

“ชอบคนที่โตกว่า หรืออายุประมาณไล่เลี่ยกัน” โดยบีมยังได้บอกอีกว่า บีมนั้นชอบคนที่มีเหตุผล และไม่งี่เง่า เช่น ทำงานก็คือทำงาน ไปเที่ยวก็คือไปเที่ยว และหากมีเรื่องอะไรก็อยากให้นำมาพูดคุยและปรึกษากันและกัน ไม่อยากให้เขาต้องเก็บไว้คนเดียว

“ชอบคนที่ไม่ต้องให้เราเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เป็น” คือประโยคที่ใหม่ได้เอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินคำถามนี้ ใหม่บอกว่าตนเองชอบคนที่นิสัย โดยจะมองว่าเขาสามารถเข้ากับตัวเองได้ไหม ใหม่อยากให้เขาชอบและเข้าใจในตัวของใหม่ ว่าใหม่นั้นเป็นแบบไหน และไม่ทำให้ใหม่ต้องรู้ด้อยค่า หรือสงสัยในคุณค่าของตนเอง โดยใหม่ก็ได้กล่าวประโยคทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ใหม่อยากชอบคนที่ ตัวใหม่สามารถรักเขา และก็รักตัวเองไปได้ด้วย”


ถ้าสามารถตะโกนบอกคนทั้งโลกได้ อยากบอกอะไรที่สุด?

หากต้องตะโกนบอกคนทั้งโลก ประโยคที่ใหม่จะตะโกนก็คือประโยค “เราดีใจที่เราเป็นแบบนี้”ใหม่รู้สึกภูมิใจในความพยายามของตนเองในทุก ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และกิจกรรมต่าง ๆ ถ้าในอนาคตได้มองกลับมา ‘ก็จะไม่เสียใจ’ เพราะได้ทำมัน ‘อย่างเต็มที่’ ที่สุดแล้ว

“เราไม่จำเป็นต้องนิยามอะไรเลย”เป็นประโยคที่มายด์เลือกที่จะตะโกนออกไปหากสามารถบอกทุกคนได้ ว่าเราไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจ หรือหาความหมายของคำว่า LGBTQ+ แล้วนำคำเหล่านั้นไปตีกรอบให้คนอื่น ๆ ว่าเขาคือใคร หรือเป็นอะไร เพราะมายด์อยากให้ทุกคน เข้าใจกันและกันผ่านสิ่งที่เขาเป็นเขา ‘ผ่านหัวใจ’ ของคน ๆ นั้นเสียมากกว่า

อาร์มบอกว่าหากจะต้องตะโกนบอกคนทั้งโลก ก็คงจะเลือกเป็นประโยค “เหนื่อยมาก!”และประโยค “อยากมีแฟน!”เพราะช่วงนี้ตัวของอาร์มนั้นต้องทำงานหลายอย่างมาก ๆ จากการเป็นองค์กรนักศึกษา และเพราะตอนนี้ต้องทำแต่งาน อาร์มก็เลยอยากที่จะมีใครสักคนเหมือนกับในวัยมัธยมที่ผ่านมา

“This Is Me!!!” คือประโยคที่บีมได้พูดทิ้งท้ายให้กับเรา ซึ่งเป็นประโยคหนึ่งจากเพลง This Is Me ของ Keala Settle โดยเป็นเพลงที่ถ่ายทอดความรู้สึกของความภาคภูมิใจในตัวตน และการยืนหยัดท่ามกลางความแตกต่าง เป็นการประกาศว่าตัวเราพร้อมจะเดินตาม ‘จังหวะชีวิตของตัวเอง’


เพราะแต่ละคนมีเฉดสีเป็นของตัวเอง ไม่มีสีไหนถูกหรือสีไหนผิด และไม่จำเป็นต้องตีกรอบตัวเองให้เหมือนใคร แค่กล้าที่จะเป็นตัวเอง กล้าที่จะเลือก และใช้ชีวิตในแบบที่เราเชื่อและภูมิใจ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้โลกใบนี้สดใสและน่าอยู่ เพราะ Pride Month ไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลองความหลากหลาย แต่คือการยืนยันว่า ‘นี่คือตัวเรา และเราภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น’


– Happy Pride Month –