Speak by Your Clothes: เมื่อชุดไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่คือบทสนทนาของตัวตน

ในเดือนมิถุนายนของทุกปี พื้นที่มากมายจากทั่วทุกมุมโลกจะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสัน พร้อมกับธงสีรุ้งที่จะถูกโบกสะบัดไปตลอดทั้งเดือน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘Pride Month’

Pride Month มีจุดเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1969 ณ เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นที่บาร์ Stonewall Inn ซึ่งเป็นบาร์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1969 ตำรวจได้มาตรวจบาร์ตามปกติ แต่สิ่งที่ต่างจากปกติคือผู้คนในบาร์ขัดขืนต่อการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้นำมาสู่การเดินขบวนเรียกร้องสิทธิสำหรับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศในหนึ่งปีให้หลัง ซึ่งในปัจจุบัน Pride Parade ถูกจัดขึ้นเพื่อระลึกถึงการจลาจลสโตนวอลล์ และเป็นการสนับสนุนให้กับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายในสังคม

เมื่อเสื้อผ้าที่สวมใส่ คือความหลากหลาย

ใน Pride Parade เรามักจะได้เห็นคนมากมายแต่งกายหลากหลายแนว พร้อมกับสีสันต่าง ๆ ที่อยู่บนเสื้อผ้าเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชุดแฟนซีสุดอลังการ ชุดกระโปรงยาวเลื่อมเพชรสีรุ้ง เสื้อผ้าแนวสตรีตสุดคูลที่แฝงไปด้วยพลัง ตลอดจนถึงเสื้อยืดเรียบง่ายที่มีข้อความสั้น ๆ แต่มีความหมายอย่าง ‘This is me’ หรือ ‘Love is Love’ ทุกสไตล์ล้วนบอกเล่าบางอย่างเกี่ยวกับเจ้าของเสื้อผ้าที่กำลังสวมใส่

ความหลากหลายในขบวนพาเหรดไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังคือพื้นที่ของการแสดงออกที่อิสระโดยไม่ต้องกลัวการตัดสิน ไม่ว่าจะเลือกใส่เดรสสุดหรู ใส่สูทผูกไท หรือแค่เสื้อเชิ้ตธรรมดาที่มีธงสีรุ้งเล็ก ๆ อยู่บนกระเป๋าเสื้อ ทุกองค์ประกอบบนร่างกายล้วนแต่เป็นตัวแทนของเราที่กำลังพูดออกไปว่า ‘เราคือใคร’

เพราะเสื้อผ้าที่เราเลือกใส่ ไม่ได้มีหน้าที่แค่ปกปิดร่างกาย แต่ยังเปรียบเป็น ‘ภาษา’ รูปแบบหนึ่ง ‘ภาษาที่ไร้เสียง’ แต่เต็มไปด้วยความหมาย ความหมายของความกล้า ความหมายของความชอบ ความหมายของอิสระ ความหมายของเสรีภาพ และความหมายของตัวเราเอง เป็นภาษาที่สะท้อนให้เห็นว่าแม้เราจะต่างกัน แต่เราทุกคนล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการ ‘เป็นตัวเอง’

ภาษาที่ไร้เสียง ในพื้นที่…ที่สนับสนุนความหลากหลาย

ในอดีตหากมีใครสักคนที่แต่งตัวแตกต่างไปจากสังคม และผิดไปจากขนบธรรมเนียม คน ๆ นั้นอาจถูกเรียกว่า ‘แกะดำ’ (สำนวนไทย หมายถึง คนที่ทำอะไรผิดแปลก แตกต่างจากคนอื่นในกลุ่มเดียวกัน) เพียงเพราะเขาผิดแปลกไปจากคนอื่น ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันอาจไม่ใช่แบบนั้น เขาคนนั้นอาจแค่ต้องการเป็นตัวเองในแบบที่เขาชอบก็เป็นได้

ยกตัวอย่างเช่น ซีรีส์วายเรื่อง ‘หอมกลิ่นความรัก’ ที่มีฉากหนึ่งได้กล่าวถึงตัวละครที่เป็นชาย แต่ใจนั้นต้องการที่จะแต่งกายเป็นหญิง ซึ่งในยุคสมัยนั้นชาวบ้านกลับมองว่าการกระทำนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่ก็มีบาร์แห่งหนึ่ง ที่เปิดรับให้ชายคนนั้น ได้สามารถแต่งกายในแบบที่ตัวเองต้องการจะเป็นได้

และในวันนี้ ในวันที่สังคมเปิดกว้างมากขึ้น นอกจากผู้คนจะยอมรับให้กับความหลากหลายแล้ว สถานที่ต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ก็เปิดรับให้กับความหลากหลายนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งในประเทศไทยก็มีหลายจังหวัดที่ได้จัดงาน Pride Parade และสถานที่ต่าง ๆ ของแต่ละจังหวัดก็ได้มีการจัดกิจกรรม Pride Month เพื่อสนับสนุนการกล้าแสดงออกของทุกคน ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ เชียงราย สงขลา ภูเก็ต หรือที่กรุงเทพฯ

Community แห่งการเป็นตัวเอง

ในกรุงเทพฯ เองก็มีหลายสถานที่ที่เปิดพื้นที่เฉลิมฉลองให้กับความหลากหลาย ซึ่งมีทั้งการจัดนิทรรศการ งานศิลปะ งานดนตรี แฟชั่นโชว์ และมุมสร้างแรงบันดาลใจที่สนับสนุนให้ทุกคน ‘กล้าเป็นตัวเอง’ ไม่ว่าจะเป็นที่ One Bangkok, สามย่าน มิตรทาวน์, Siam Center และสถานที่ต่าง ๆ ต่างก็ร่วมสร้างพื้นที่ให้ทุกคนได้เฉิดฉายในการเป็นตัวเอง

พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่จัดกิจกรรม แต่เปรียบเสมือน ‘พื้นที่แห่งความเข้าใจ’ ที่เปิดรับทุกตัวตนอย่างแท้จริง ที่ซึ่งผู้คนสามารถสวมเสื้อผ้าในแบบที่อยากใส่ เดินในแบบที่อยากเดิน และทำในแบบที่อยากทำ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตัดสินจากผู้คนที่มองเข้ามา

ที่สำคัญกว่านั้น สถานที่เหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็น ‘กระจก’ ที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมกำลังก้าวไปข้างหน้า จากการมองความแตกต่างว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ ไปสู่การมองว่า ‘ความหลากหลายคือเรื่องธรรมดา’ ความมั่นใจที่เราได้มองเห็นผ่านแววตาของผู้คน ล้วนเป็นภาพที่บอกเราว่า การได้เป็นตัวเองอย่างไม่ต้องปกปิด มันทำให้พวกเขารู้สึกดีมากเพียงใด เพราะในที่สุดแล้ว ‘การถูกยอมรับในแบบที่เราเป็น’ ก็มักเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ

เรื่องราวที่เราเลือกได้

ทางเราได้มีโอกาสพูดคุยกับ ‘ภู – ภูวดล ชูสุวรรณ์’ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงคนหนึ่ง ภูชอบการได้ทำกิจกรรมทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยอยู่เสมอ เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงแค่การเรียนรู้นอกห้องเรียน แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ได้ใช้ ‘ภาษาที่ไร้เสียง’ ของตัวเอง เพื่อบอกเล่าเรื่องราวใหม่ ๆ ผ่านสีสันและลวดลายของเสื้อผ้าที่สะท้อนความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ราวกับกำลังเขียนเรื่องราวบทใหม่ ในแต่ละครั้งที่ได้ลงมือทำสิ่งต่าง ๆ

เอาจริง ๆ ผมมองว่าคนเรามักจะถูกสังคมจำแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะด้วยเพศ อายุ อาชีพ หรือรสนิยม ซึ่งในโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย การแบ่งแยกเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่การจัดกลุ่มทางสังคมเท่านั้น มันไม่สามารถสะท้อนถึงตัวตนที่แท้จริงของเราได้เลย

ในทางกลับกัน การแต่งตัวกลับสามารถสะท้อนความเป็นตัวตนของเราได้อย่างลึกซึ้ง เพราะสำหรับผม มันคือสิ่งที่เราเลือกเองได้ เราสามารถเล่าเรื่องราวของตัวเอง ผ่านสีสัน ลวดลาย หรือแม้แต่ความเรียบง่ายของเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ มันคือการแสดงออกถึงตัวเราเอง โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมาเลย

เมื่อเป็นอย่างนั้น ผมว่าการมีพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เราแต่งตัวได้อย่างเต็มที่ ให้เราได้ใส่ในสิ่งที่เราชอบอย่างอิสระ มันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่า ที่นี่มันเป็นที่สำหรับเราทุกคนทำให้ผมกล้าที่จะเติบโต เป็นตัวเอง และใช้เสียงของตัวเองได้อย่างเต็มที่

KMUTT พื้นที่ของทุกคน

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ไม่ได้แค่เป็นพื้นที่ของการศึกษา แต่ยังเป็น ‘พื้นที่’ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เติบโตในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร หรือมีตัวตนแบบไหน ที่นี่ไม่มีคำว่า ‘ผิดแปลก’ มีเพียงความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในความแตกต่าง

จากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ข้อที่ 5 การบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ และข้อที่ 10 การลดความเหลื่อมล้ำ มจธ.ได้นำเป้าหมายเหล่านี้มาสู่การปฏิบัติจริง ผ่านการส่งเสริมความหลากหลายและการมีส่วนร่วมของทุกคนในมหาวิทยาลัย อย่างการเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้นักศึกษาในการลองทำสิ่งต่าง ๆ หรือการสนับสนุนให้ทุกคนสามารถแต่งกายตามแบบที่ตัวเองนั้นมั่นใจ

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยยังมีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความเท่าเทียม และความเสมอภาค ผ่านการสร้างบรรยากาศของการยอมรับความแตกต่างในทุกด้าน เพราะที่นี่เชื่อว่าความหลากหลายคือพลังที่ขับเคลื่อนนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และคือจุดเริ่มต้นของการเติบโตสู่สังคมอย่างแท้จริง


หากคำพูดคือพลังของเสียง เสื้อผ้าก็คือพลังของความกล้า อย่ากลัวที่จะแต่งตัวในแบบที่คุณเป็น เพราะนั่นคือภาษาที่คุณใช้บอกโลกว่า นี่คือตัวฉัน


ขอบคุณข้อมูลจาก : bangkokbiznews.com และ central.co.th