บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ เซอร์วิส (แหลมฉบัง) บริษัทย่อยของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM หนึ่งในผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ลงนามข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้นกับ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส และ บี.กริม เพาเวอร์ เซอร์วิส (แหลมฉบัง) เพื่อร่วมลงทุนพัฒนาเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ ตอบโจทย์เทรนด์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขององค์กรต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน
คุณสุทธิศักดิ์แก้วมีแสง บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นของบริษัทในการให้บริการด้านวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า รวมถึงภาคอุตสาหกรรมด้วยคุณภาพระดับมาตรฐานสากล มีความยินดีอย่างยิ่งในการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อพัฒนาเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ โดยให้การสนับสนุนเพื่อให้เกิดการใช้งานในแผงโซลาร์เซลล์อย่างเต็มที่และยังสนับสนุนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา อาทิเช่น อุปกรณ์อะไหล่ เครื่องมือทดสอบหรือซอฟท์แวร์ บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานร่วมกัน ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการพัฒนานวัตกรรมและองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมเพื่อสนับสนุนและต่อยอดธุรกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มเอ็กโก รวมถึงเสริมสร้างคุณค่า เพิ่มศักยภาพและความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับพันธมิตรทุกฝ่ายอีกด้วย
คุณดอน ทยาทาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ – สายงานลูกค้าสัมพันธ์และปฏิบัติการโรงไฟฟ้า 2 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันการใช้พลังงานทดแทนได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานทั้งภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนเป็นอย่างมาก โดยเห็นได้จากจำนวนของการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่เพิ่มขึ้นทั้งการใช้งานของโรงงานอุตสากรรม นิคมอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น เนื่องจากเป็นการตอบโจทย์การใช้พลังงานทางเลือกที่มีประสิทธิภาพทั้งในเรื่องการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สามารถควบคุมปริมาณการใช้ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงยังเป็นการตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทาง บี.กริม มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาการใช้งานพลังงานทางเลือกอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมศักยภาพการใช้งานของแผงโซลาร์เซล์เพื่อเป็นการตอบความต้องการของลูกค้าในด้านการใช้พลังงานทางเลือกอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในปัจจุบันหากพิจารณาการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในจะเห็นได้ว่ามีความยาวมากกว่า 2 เมตร ซึ่งเกินกว่าที่เครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ที่ศูนย์ทดสอบ CES Solar Cells Testing Center (CSSC) จะสามารถรองรับได้ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือของพันธมิตรในโครงการนี้เพื่อร่วมลงทุนและพัฒนาเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งถือเป็นเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์แห่งเดียวในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน โดยทางบี.กริม พร้อมสนับสนุนการลงทุนและการจัดซื้อเครื่องมือทดสอบเพื่อเสริมการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายโครงการ
รศ.ดร.จักรกฤษณ์เตชะอภัยคุณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า มจธ. ถือเป็นสถาบันการศึกษาที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาและส่งเสริมด้านเทคโนโลยีอยู่เสมอ ดังจะเห็นได้จากผลงานด้านวิชาการและการผลิตนวัตกรรมต่างๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ มจธ. ได้จัดเตรียมคณาจารย์และนักศึกษาผู้มีประสบการณ์เพื่อเข้าร่วมโครงการ โดยได้จัดเตรียมระบบการเดินเครื่องและการบำรุงรักษาเครื่องมืดทดสอบ ขั้นตอนในการตรวจสอบการใช้งานซึ่งได้รับมาตรฐานห้องปฏิบัติการทดสอบ ISO/IEC17025 ถือเป็นการใช้ความเชี่ยวชาญของทางสถาบันเพื่อพัฒนาการใช้งานพลังงานทางเลือกให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการสร้างประสบการณ์ในการดำเนินโครงการร่วมกับหน่วยงานชั้นนำซึ่งจะเป็นการพัฒนาบุคคลากรของ มจธ.ด้วยเช่นกัน
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากลงทุนในเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์แล้ว ทั้งสามองค์กรจะร่วมกันทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบว่าสามารถใช้บริการและทำการทดสอบได้ที่ศูนย์ทดสอบ CSSC โดยเครื่องทดสอบแผงโซลาร์เซลล์นี้จะถูกติดตั้งที่ศูนย์ทดสอบ CSSC โดยมีผู้ปฏิบัติการของศูนย์ทดสอบ CSSC เป็นผู้ทำการทดสอบและบำรุงรักษา (ผู้ปฏิบัติการและห้องปฏิบัติการของศูนย์ทดสอบ CSSC ผ่านการรับรองระดับสากลแล้ว) โดยความร่วมมือทั้งหมดมีระยะเวลาในการดำเนินงาน 10 ปี
ทั้งนี้ จากรูปแบบความต้องการใช้พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ปัจจุบันองค์กรต่างๆ มีนโยบายลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะยาว และหันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น เพื่อตอบโจทย์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions โดยหนึ่งในพลังงานทดแทนที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง คือ การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์ รูฟท็อป) เนื่องจากการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สามารถทำได้ทั้งระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม ส่งผลให้จำนวนผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ของแผงโซลาร์เซลล์ ที่มีการพัฒนามากขึ้น ดังนั้นการตรวจสอบแผงโซลาร์เซลล์จึงมีความสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่องค์กรและผู้ที่ต้องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ทั้งในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนในภาพรวมของประเทศมากยิ่งขึ้นในอนาคต