ภูดิศ สุทธิ์ทราศิริกุล
Vice President of Technology บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
นักศึกษาเก่าระดับปริญญาตรี ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีที่เข้าศึกษา 2539

งานของพี่ทำอยู่ในด้านเทคโนโลยี ดูเรื่องของการนำเทคโนโลยีจากภายนอกเข้ามาใช้ใน GC เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของบริษัท อย่างตอนนี้กระแสที่มาแรงก็คือเรื่อง decarbonization ซึ่งเราต้องศึกษาว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่จะช่วยให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพสูงที่สุด และถ้าเราปรับปรุงได้จนถึงจุดที่ดีที่สุดแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการหาวิธีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ก่อนที่จะปล่อยออกมา โดยมองหาเทคโนโลยีที่สามารถทำได้ในต้นทุนที่เหมาะสมที่สุด ในส่วนของการทำงานกับน้อง ๆ process engineer ที่อยู่ในทีม เนื่องจากหน่วยงานของพี่เป็นฝ่ายเทคโนโลยี คนในทีมส่วนใหญ่ก็จะเป็นวิศวกรเคมีทั้งหมด ทำให้เขามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องกระบวนการผลิตและการออกแบบกระบวนการอยู่แล้ว ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะไปต่อยอดในการศึกษาเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือการทำโครงการให้สมบูรณ์ที่สุด ปัจจุบัน GC มี process engineer อยู่ประมาณเกือบ 200 คน อีกมุมหนึ่งคือเรื่องการพัฒนาสมรรถนะบุคลากร เปรียบได้เหมือนกับการเรียนมหาวิทยาลัย ที่แต่ละปีจะมีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้และควรมีทักษะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในการทำงานก็เช่นกัน บริษัทจะมีความคาดหวังว่าพนักงานในแต่ละระดับควรมีทักษะและความสามารถอะไรบ้าง เพื่อให้สามารถเติบโตในสายงานต่อไปได้ในอนาคต ส่วนในมิติของ project หากเราจะผลิตสารเคมีชนิดหนึ่ง เราต้องเริ่มจากการเลือกเทคโนโลยีที่ดีที่สุด จากนั้นจึงดูเรื่องการออกแบบว่าเหมาะสมหรือยัง ประสิทธิภาพการเปลี่ยน (conversion) ดีเพียงใด ต้องปรับแก้หรือใส่องค์ประกอบเพิ่มเติมตรงไหนบ้าง แล้วต่อยอดไปสู่การออกแบบรายละเอียด (detailed design) การก่อสร้าง การทดสอบระบบ (commissioning) และการเริ่มเดินเครื่อง (startup) ซึ่งถือว่าเป็นการทำงานครบวงจร (end-to-end) ที่ได้ใช้ทั้งความรู้จากการเรียนและประสบการณ์จริงอย่างเต็มที่
ความท้าทายในการทำงาน
วันนี้เราต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีมันพัฒนาเร็วมาก สิ่งที่เราเคยเรียนมา บางอย่างอาจล้าสมัยไปแล้วก็ได้ การเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นเหมือนการปูพื้นฐาน ให้เรามีรากฐานที่แข็งแรง แต่ในชีวิตจริง เราต้องเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดเวลา สมัยก่อนมีการพูดถึงว่า ความรู้ของวิศวกรแต่ละสาขาจะมี “half-life” ของตัวเอง หมายถึงว่าความรู้ที่เรามี มันจะหมดอายุได้เร็วแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่นถ้าเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ ความรู้ที่เรียนในมหาวิทยาลัยกับความรู้ที่พัฒนาข้างนอก มันต่างกันมาก เพราะสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นไวตลอดเวลา
สิ่งที่เราควรพัฒนาอยู่เสมอคือเรื่อง innovation และ digital ที่ต้องนำมาใช้จริง อย่างเมื่อก่อน เวลาจะคำนวณเรื่องไฮดรอลิก เราต้องนั่งคำนวณ ออกแบบ ว่าท่อควรวางยังไง ปั๊มควรใช้แบบไหน แต่ต่อไป Generative AI จะกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเราได้ เรามีความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว ก็สามารถให้ AI เรียนรู้ และพัฒนาเป็นเหมือน “ที่ปรึกษา” ให้เราได้ อย่างเวลาเราจะออกแบบอะไร เราอาจจะใส่ requirement เข้าไป แล้วให้ AI สร้างแบบร่างออกมา จากนั้นเราค่อยตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้องอีกที ซึ่งตรงนี้คือ “ปลายทาง” ที่จะช่วยให้เราทำงานสะดวกขึ้น แต่ “ต้นทาง” เรายังต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ Generative AI และสามารถพัฒนาโมเดลขึ้นมาให้ได้ก่อน
ในเรื่อง innovation พี่มองว่า เวลาเราคิด ไม่ควรคิดแค่ทางเดียว แต่ควรมองหา option หรือ alternative way อื่น ๆ ด้วย เพราะถ้าเราคิดกว้างขึ้น เราก็จะมีโอกาสสร้างสิ่งใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนขวดโค้กใช้ฝาจีบ ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นกระป๋องแบบดึงเปิดได้ อันนี้ก็คือ innovation จากการมองต่างมุมเหมือนกัน ซึ่งหลายครั้ง innovation ไม่ได้เกิดจากการวิจัยใหญ่โตเสมอไป บางทีมันเกิดจาก pain point เล็ก ๆ ที่เราเจอในชีวิตประจำวัน ถ้าเราปรับนิดเดียว บิดวิธีคิดหน่อยเดียว ก็สามารถทำให้เกิดสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้ เพราะจริง ๆ แล้ว innovation อยู่รอบตัวเรา อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เพียงแค่เรามองเห็นและทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิม
พื้นฐานที่ควรมีถ้าสนใจงานสายนี้
อันนี้จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องของ chemical engineer โดยหลัก แต่ก็รวมไปถึงสาย chemical technology หรือ chemical industrial ได้เหมือนกัน เพราะว่าสายงานของเราเป็นงานที่อยู่บนฐานของ application หรือ chemical application ซึ่งต้องใช้ความรู้จากทั้งสองฝั่งมาบูรณาการเข้าด้วยกัน คือความรู้ทางเคมี และความรู้เรื่องกระบวนการผลิตทางด้านวิศวกรรม
น้อง ๆ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมตอนเรียนอาจารย์ถึงให้เรียนวิชาที่ดูไม่เกี่ยวข้องเยอะแยะไปหมด เรียนวิศกรรมเคมี แต่วิชาหนัก ๆ อย่างไฟฟ้า เรียนไปทำไม แต่พอถึงเวลาทำงานจริง เราจะเห็นเลยว่าความรู้หลายด้านมันเชื่อมโยงกันหมด และถึงตอนนั้นเราจะรู้สึกขอบคุณอาจารย์ เพราะเราจะเข้าใจว่า integrated knowledge หรือความรู้ที่เชื่อมโยงหลากหลายสาขา เป็นสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ ในการทำงาน
การทำงานในแต่ละวันและ career path
Process engineer ของ GC จะมีทั้งฝั่งที่ทำงานใน plant operation และฝั่งที่อยู่ใน center technology ซึ่งงานของพี่จะอยู่ตรงกลาง คอยทำหน้าที่ support ถ้าเป็นฝั่ง plant งานประจำวันของเขาก็จะเป็นการดูแลการเดินเครื่อง เช่น ตอนเช้าต้องรีวิว performance ตรวจสอบการทำงานต่าง ๆ และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งตรงนี้ต้องทำงานร่วมกับหลายสายงาน เพราะวิศวกรเคมีเองก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างทั้งหมด และสายงานอื่น ๆ ก็เช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ collaboration การมีความเห็นร่วมกัน การยอมรับความแตกต่าง และการหาทางออกใหม่ ๆ มาช่วยแก้ปัญหา
งานของ process engineer จึงเป็นงานที่ต้องทำทุกวัน ตั้งแต่การตรวจสอบ ไปจนถึงการแก้ไขหน้างาน โดยต้องคำนึงถึงประโยชน์และผลลัพธ์ในภาพรวมกลับมาทบทวนอยู่เสมอ ปกติแล้วน้อง ๆ ที่เพิ่งเริ่มทำงานก็จะได้ไปอยู่ฝั่ง plant ก่อน เพื่อเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตรง จากนั้นเมื่อมาอยู่ที่ center ก็จะได้มีโอกาสขยายความคิด ค้นหาไอเดียใหม่ ๆ เพราะนอกจากงานแก้ไขหรือปรับปรุงใน plant แล้ว ที่ center ยังมี major project ใหญ่ ๆ เช่น การสร้างโรงงานใหม่ทั้งโรง หรือการขยายกำลังการผลิตของโรงงานเดิม ซึ่งถือว่าเป็นส่วนงานสำคัญมากเช่นกัน
อีกมิติที่สำคัญคือเรื่องการทำงานร่วมกับ licensor และ vendor ซึ่งตรงนี้ต้องใช้ทักษะหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องภาษา จุดอ่อนของวิศวกรรุ่นก่อน ๆ รวมถึงพี่ด้วยก็คือทักษะภาษา ที่มักต้องมาพัฒนาตอนเริ่มทำงานแล้ว แต่โชคดีว่าน้องรุ่นใหม่ ๆ ส่วนใหญ่เก่งภาษาอยู่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบมาก เวลาเราคุยกับ vendor เราไม่เพียงแค่ต้องฟัง แต่ต้องมีความรู้เพียงพอที่จะกล้า challenge เขาด้วย เพื่อให้ได้ทางเลือกและคำตอบที่ดีที่สุด
ความทรงจำสมัยเรียนที่ มจธ.
ความประทับใจตอนที่เรียนคือต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วนส่วนที่อยู่ในภาคกับส่วนที่อยู่นอกภาค ส่วนที่อยู่ในภาคคือ อาจารย์ของเราเก่งและเป็นด็อกเตอร์เกือบทุกคน บางท่านเป็น professor ด้วย ท่านเปิดกว้างและให้การสนับสนุนจริง ๆ เป็นอาจารย์ที่ใส่ใจนักศึกษา ข้อสอบอาจโหด แต่เป็นการวัดความเข้าใจจริง ๆ ทำให้เราสามารถขมวด concept ความรู้ของเราได้และนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง เพื่อน ๆ ในชั้นเรียนก็เหนียวแน่นและรักกัน เวลามีใครสอบตก เราไม่ทิ้งกัน ลุยต่อจนสำเร็จ บรรยากาศในภาคเรียนดีมาก เวลาอ่านหนังสือก็มักนั่งอ่านรวมกัน ติวกันช่วยกัน หรือแม้แต่ไปถ่ายเอกสารเพื่อนก็จะแบ่งชุดมาให้ บางคนคิดถึงเราและ xerox มาให้อีกหลายชุด ช่วงทำโปรเจกต์ก็อยู่ด้วยกันตลอด ทำให้สนิทกันมาก พี่ได้มีโอกาสทำกิจกรรมเป็น ประธานสภานักศึกษา ทำงานคู่กับนายกองค์การ มีหน้าที่พิจารณาโครงการของชมรมต่าง ๆ ดูสโคป งบประมาณ ความเหมาะสม และจัดสรรงบประมาณให้ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีมาก เพราะช่วยหล่อหลอมวิธีคิด การทำงานร่วมกับผู้อื่น และสร้างเครือข่ายทั้งในองค์การ ชมรม และสภาของมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในฐานะนักเรียนทุน พอเราเรียนจบและดูแลตัวเองได้แล้ว เรายังสามารถส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้กับน้อง ๆ รุ่นต่อไป เช่น การสนับสนุนทุน หรือกลับไปช่วยมหาวิทยาลัยในด้านต่าง ๆ ทั้งสอนหรือช่วยงานตามที่อาจารย์ต้องการ สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองได้ส่งต่อความรู้และประสบการณ์ให้กับคนรุ่นหลัง
ความรู้ที่ได้รับจาก มจธ. นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำงานอย่างไร
อย่างแรกคือเรื่อง นวัตกรรมและการคิดต่าง ทำให้เราสามารถพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ การนำ เครื่องมือดิจิทัล เข้ามาใช้ในงาน ทำให้ประหยัดเวลาและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราก็จะมีเวลาคิดต่อยอดหรือพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ เพิ่มเติมได้ เรื่อง network และการทำงานร่วมกับคนอื่น ก็สำคัญมาก เพราะงานไม่สามารถทำคนเดียว เราต้องสร้างเครือข่ายทั้งในองค์กรและนอกองค์กร รวมถึงรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ซึ่งหลายคนยังคอยสนับสนุนเราอยู่ มุมมองระดับสากลก็เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อทำงานจริงเราต้องเข้าใจวัฒนธรรมของเพื่อนร่วมงานต่างชาติ ปรับตัวให้เข้ากับเขา และทำงานแบบมืออาชีพตามมาตรฐานสากล สิ่งที่อาจารย์สอนเรื่องการอ้างอิงหรือให้เครดิตกับคนต้นคิด เป็นการฝึกความเคารพและแสดงความเป็นมืออาชีพของเรา สุดท้ายคือเรื่อง ความมุ่งมั่นและแรงผลักดันภายในตัวเอง เราต้องมี drive to result พยายามทำให้สำเร็จ และกล้าที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง หลังจากเข้าใจความเสี่ยงและประเมินสิ่งที่จะเกิดขึ้น
3 ทักษะที่สำคัญในการทำงานให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข
อันดับแรกคือเรื่องของ self-motivate เมื่อเรารู้จักตัวเองและทำงานในสิ่งที่เราชอบ เราจะทำงานอย่างมีความสุข ตั้งใจทำจริง ๆ การค้นหาตัวเองว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไรเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสิ่งที่เราไม่ชอบทำแล้วมักจะไม่มีความสุข เมื่อเจอตัวเองแล้ว เราต้องสามารถ motivate ตัวเองได้ตลอด แม้เจออุปสรรคหรือสิ่งที่ขวางอยู่ เราก็ค่อย ๆ หาวิธีแก้ทีละนิด สิ่งนี้คือสิ่งที่พี่ถือมาตลอด คือ ล้มได้ ท้อได้ แต่อย่านาน อันดับสองคือเรื่องของ network และ collaboration การทำงานร่วมกับคนอื่นเป็นสิ่งจำเป็น เพราะผลลัพธ์ที่ได้มักจะดีกว่าการทำงานคนเดียว การสื่อสารและร่วมมือกับผู้อื่นทำให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ และแก้ปัญหาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อันดับสุดท้ายคือเรื่องของ การบริหารชีวิตและงาน (life balance) เราไม่สามารถอยู่กับงานเพียงอย่างเดียวได้ ชีวิตยังมีด้านอื่น เช่น ครอบครัว เราต้องเข้าใจว่าอะไรสำคัญ และพยายาม balance ให้เหมาะสมในแต่ละช่วงชีวิต ช่วงที่เพิ่งเริ่มทำงาน งานอาจจะเยอะหน่อย แต่พอเริ่มมีครอบครัว เราต้องปรับให้สมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว เรื่องนี้เป็นทั้ง ศาสตร์และศิลป์ ที่ต้องเรียนรู้ เพื่อให้เรามีความสุขกับการทำงาน
ฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังจะจบการศึกษา
น้องแต่ละรุ่นมีวิธีคิดไม่เหมือนกัน เจนนี้เป็นเจนซี อาจต่างจากเจนก่อน ๆ วิธีการทำงานก็ไม่เหมือนเดิม ตอนที่พี่จบ พี่ตั้งเป้าว่าจะทำงานด้านวิศวกรรมเคมี พยายามให้ได้ตามที่คาดหวัง ปัจจุบันการแข่งขันสูงขึ้น บริษัทดูคุณสมบัติของเรามากขึ้น แต่ข้อดีคือ เด็กที่เข้ามาในอุตสาหกรรมนี้น้อยลง ทำให้โอกาสก็ยังมีอยู่ สิ่งสำคัญคือ life-long learning การเรียนรู้ไม่ได้จบแค่มหาวิทยาลัย เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เช่น ตอนเรียนเราใช้ simulation แก้ปัญหา ตอนนี้ก็มีเทคโนโลยีอย่าง AI, ML หรือ data science ที่เข้ามาช่วย หากเราเรียนรู้และนำมาใช้เป็น จะทำให้ได้เปรียบคนอื่นเมื่อเข้าทำงาน นอกจากนี้ การทำงานร่วมกับคนอื่นและเข้าสังคมก็เป็นทักษะที่ต้องฝึกกันได้ การปรับตัวให้ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดี เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราอยู่รอดและเติบโตในสายอาชีพได้อย่างมั่นคง