“แบ่งเวลาให้เป็น เรียนก็คือเรียน เล่นก็คือเล่น เที่ยวก็คือเที่ยว แบ่งเวลาให้ถูกแล้วชีวิตจะสมดุล”

ดร.ชนา พุทธนานนท์

รางวัลนักวิจัยดาวรุ่ง มจธ. ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 ด้านวิชาการ เน้นคุณค่าทางความรู้ใหม่

นักศึกษาเก่าภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์

ระดับปริญญาตรี ปีที่เข้าศึกษา 2552

ระดับปริญญาโท ปีที่เข้าศึกษา 2556

ระดับปริญญาเอก ปีที่เข้าศึกษา 2558

ความทรงจำสมัยเรียนที่ มจธ.
โดยส่วนตัวมองว่าช่วงเวลาการเรียนระดับปริญญาตรีเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด เนื่องจากยังไม่มีภาระหน้าที่ที่หนักหนา ชีวิตในช่วงนั้นเต็มไปด้วยอิสระ หน้าที่หลักคือการเรียนและใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อน หากย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ภาพจำที่ชัดเจนคือการใช้เวลาร่วมกับเพื่อน ๆ ในการเรียน กิจกรรมต่าง ๆ และบรรยากาศการเรียนที่เต็มไปด้วยความคึกคัก ช่วงเวลานั้นตรงกับปี 2552 – 2555 ซึ่งถือเป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยมีชีวิตชีวามาก เพราะยังไม่มีโควิด – 19 กิจกรรมในมหาวิทยาลัยมีมากมาย ทั้งการเชียร์กีฬา กิจกรรมของภาควิชา ฯลฯ บรรยากาศในการเรียนก็ดี อาจารย์ทุกท่านตั้งใจถ่ายทอดความรู้อย่างเต็มที่ และพวกเราก็ตั้งใจเรียนเช่นกันช่วงชีวิตปริญญาตรีเต็มไปด้วยเรื่องของการเรียนและเพื่อน เพื่อนมีบทบาทสำคัญ เราใช้เวลาร่วมกันตลอดเวลา ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน เพียงแค่โทรหากันหรือพูดคำเดียวก็เข้าใจกัน พร้อมที่จะช่วยเหลือกันเสมอ เพราะเราใช้ชีวิตด้วยกันมาตลอด 4 ปี หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยและภาควิชาได้มอบโอกาสให้ผมเรียนต่อ ทั้งในระดับปริญญาโท โดยได้รับทุนเพชรโยธา และในระดับปริญญาเอกด้วยทุนเพชรพระจอมเกล้าดุษฎีบัณฑิต ซึ่งทำให้ผมมีโอกาสไปศึกษาต่างประเทศ แม้ในตอนแรกจะไม่เต็มใจนัก เนื่องจากเป็นคนที่ชอบอยู่ใน comfort zone แต่ด้วยการผลักดันจากอาจารย์ที่ปรึกษา ทำให้ได้ไป และสุดท้ายก็พบว่านั่นคือประสบการณ์ที่ล้ำค่า ได้พบเจอสิ่งใหม่ ๆ และเรียนรู้มากมาย เมื่อกลับมาแล้วจึงแนะนำรุ่นน้องให้คว้าโอกาสนี้หากมี การเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาไม่สามารถทำได้คนเดียว การมีเพื่อนคอยพูดคุยระหว่างวันช่วยให้ไม่เครียดเกินไป บรรยากาศการเรียน ห้องปฏิบัติการ และการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผมสามารถดำเนินตามเป้าหมายได้อย่างมั่นคง

ความรู้ที่ได้รับจาก มจธ. นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างไร
ความรู้จากมหาวิทยาลัยเป็นพื้นฐานที่สามารถนำไปต่อยอดในการทำงานได้ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ “บทเรียนชีวิต” ที่ได้รับในระหว่างเรียน ทุกปัญหาที่เจอในรั้วมหาวิทยาลัยสอนให้เรารู้จักวิธีแก้ไข และกล้าที่จะล้ม เพราะที่นี่เปรียบเสมือนสนามทดลองที่ให้โอกาสลุกขึ้นใหม่เสมอ สิ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาเคยสอนผมไว้และผมยึดถือมาตลอดคือ “บทเรียนที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น” เพราะเราสามารถนำมาเป็นแนวทางในการหลีกเลี่ยงและปรับใช้กับตัวเองได้

แนวทางการทำงานให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข

การแบ่งเวลาให้เป็น เรียนก็คือเรียน เล่นก็คือเล่น เที่ยวก็คือเที่ยว แบ่งเวลาให้ถูกแล้วชีวิตเราจะสมดุล เรียนอย่างเดียวชีวิตเราก็จะหนักเกินไปเราต้องมีช่องทางผ่อนคลายบ้าง แต่ก็ต้องตั้งใจเรียนเพราะว่าการเรียนก็จะนำเราไปสู่ความสำเร็จ เป็นคำสอนที่พ่อผมสอนมาเสมอ

ฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังจะจบการศึกษา
อยากให้น้อง ๆ ตั้งใจเรียน เพราะเมื่อถึงวันที่ต้องสมัครงาน นายจ้างในอนาคตจะยังไม่เรา สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือใบผลการเรียน ซึ่งถือเป็นใบเบิกทางครั้งแรกของชีวิตการทำงาน สมมติว่าหากเราลองเปลี่ยนบทบาทเป็นนายจ้าง แล้วต้องเลือกระหว่างผู้สมัครที่มีเกรดเฉลี่ย 3.5 กับ 2.5 โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย จะเลือกใคร เพราะฉะนั้นควรตั้งใจเรียน เพื่อให้ได้ผลการเรียนที่ดี แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่คะแนน แต่คือ “ความเข้าใจ” ในเนื้อหาที่เรียน เพราะเมื่อจบไปแล้วต้องสามารถประยุกต์ใช้ความรู้กับสถานการณ์จริงได้ โลกของการทำงานไม่เหมือนในห้องเรียน ไม่มีโจทย์ให้ทำเป็นข้อ ๆ จึงต้องอาศัยการเข้าใจและการประยุกต์มหาวิทยาลัยคือสนามทดลอง ที่นี่เราสามารถล้มแล้วลุกได้ จึงอยากให้น้อง ๆ กล้าล้มและเรียนรู้วิธีลุกขึ้นมาด้วยตนเอง และเรียนรู้จากการล้ม ความผิดพลาดของผู้อื่นมาเป็นบทเรียนของเรา