“ความรับผิดชอบจะเป็นตัวหนึ่งที่การันตีว่าเราจะทำงานให้สำเร็จได้”

คุณชาตรี แสงไสว

Vice President of Project Engineering and QA/QC Support

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

ปริญญาตรี ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีที่เข้าศึกษา 2533

ความโดดเด่นในสายอาชีพ

สายงานของผมเป็นสายงานที่ดูแลการบริหารงานโครงการ จะเริ่มต้นตั้งแต่การคิดโครงการ ซึ่งจะมาจากกลยุทธ์ของบริษัท เราจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ดูว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหนที่โครงการนี้จะดำเนินการได้  วัตถุประสงค์ของโครงการคืออะไร สิ่งที่จะได้จากโครงการมีอะไรบ้าง จะช่วยดูไปจนถึง phase ของการออกแบบ และก่อสร้างจนกระทั่งโปรเจคสามารถเดินได้ จากนั้นจะส่งมอบให้ทาง operation ทางสายงานนี้จะเป็นเรื่องของการออกแบบ และเรื่องของคุณภาพของงาน การบริหารโครงการ และส่งมอบโครงการให้กับหน่วยธุรกิจ

ความท้าทายในสายงานและวิธีการรับมือ

เบื้องต้นคือการบริหารโครงการต้องใช้ศิลปะ เพราะว่าโครงการแต่ละโครงการจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของมัน เพราะฉะนั้นเวลาบริหารโครงการหนึ่ง อาจจะไม่เหมือนกับการบริหารโครงการอีกโครงการหนึ่ง เพราะฉะนั้นในแต่ละโครงการเราต้องกำหนดตัวแผนงานที่ดี จะต้องมีการวางแผน เรื่องของการทำ project execution หรือว่าทำงานก่อสร้างอะไรที่แตกต่างกันตามบริบทของโครงการนั้น ๆ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เราอาศัยหลักประสบการณ์ ถึงแม้โปรเจคจะไม่เหมือนกัน แต่ลักษณะของการทำงานแกนหลักของมันจะเหมือนกัน จากประสบการณ์บทเรียนจากโปรเจคหนึ่งอาจจะสามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับอีกโปรเจคหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นการที่เราทำโครงการ ยิ่งถ้าเราทำเยอะ เราสามารถที่จะเอาประสบการณ์ตรงนั้นมาปรับปรุงแก้ไขได้ ความท้าทายในการบริหารโครงการ จะเป็นลักษณะของการที่โปรเจคมีลักษณะไม่เหมือนกัน แต่ความท้าทายที่จะเจอทุกโปรเจคคือเรื่องของเงิน เรื่องของตารางงาน คุณภาพงาน และขอบเขต ยิ่งถ้าเราไปทำงานโดยใช้ผู้รับเหมาที่เขามีปัญหาเยอะ เราจะเจอปัญหา ซึ่งภายในทีมก็ต้องเข้าไปช่วยกันแก้ปัญหา ดูแลจนกระทั่งโครงการประสบความสำเร็จ

3 ทักษะที่ควรมีถ้าสนใจสายงาน project management

ในแง่ทักษะของการบริหารงานโครงการเรามีสถาบันตัวหนึ่งที่เรียกว่า project management institute ซึ่งเป็นการดูแลเรื่องของด้าน project management จะมีความรู้พื้นฐานอยู่ 10 อย่าง แต่เท่าที่เรานำมาใช้ประโยชน์ในการบริหารโครงการหลัก ๆ เรื่องแรกจะเป็นเรื่องของ stakeholder management เนื่องจากการทำโครงการประกอบด้วย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในหลาย ๆ กลุ่มเพราะฉะนั้นการบริหารจัดการ stakeholder เป็นสิ่งสำคัญที่เราควรจะเสริม ควรรู้วิธีการสื่อสารกับเขา จะไปรับมือกับเขายังไงเพื่อให้เราได้วิธีแก้ปัญหา เพราะโครงการที่จะทำมันต้องมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เขาต้องการ เลยต้องไปหาอะไรใหม่ ๆ เพื่อนำมาปรับปรุง หรือว่าทำโครงการให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของเจ้าของงาน อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญเหมือนกันคือเรื่องของ scope management ถ้าเราทำงานแล้วเราไม่มีขอบเขตการทำงานที่ชัดเจน เราจะไม่รู้ว่าเราจะต้องทำอะไรเสร็จเมื่อไหร่ คุณภาพแบบไหน จึงจำเป็นจะต้องไปดูแลรักษาด้านการกำหนดขอบเขตของงาน การเจรจาขอบเขตที่เราจะกำหนด ส่วนที่ 3 คือเรื่องของงบประมาณ cost management คือการบริหารเรื่องเงิน เราเริ่มต้นโครงการมาเราจะมีเงินมาก้อนนึงเพื่อที่จะดำเนินโครงการ แต่ระหว่างโครงการถ้าเราควบคุมขอบเขตได้ไม่ดี หรือเราไม่ควบคุมเงิน ถ้าเกิดเงินมันเกินจะเริ่มมีปัญหา มันอาจจะเป็นประเด็นให้โครงการนี้มันหยุดชะงัก ที่ผ่านมาจะมี 3 อันหลัก ๆ สามอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะว่าหลัก ๆโครงการที่เราทำเองจะมีปัญหาใน 3 เรื่องนี้เป็นหลัก

ถ้าสนใจสายงานนี้ควรมีความรู้อะไรเป็นพื้นฐานบ้าง

ในเบื้องต้นจริง ๆ การบริหารงานโครงการเป็นเหมือนการที่เราบริหารชีวิตประจำวันของเรา โดยใช้พื้นฐานเดียวกันว่าถ้าเราบอกว่าวันหนึ่งเราจะไปกรุงเทพฯ เราต้องวางแผนว่าเราจะเดินทางยังไง เราจะใช้เวลาเท่าไหร่ เราต้องเสียเงินเท่าไหร่ จะเดินทางด้วยยานพาหนะอะไร ซึ่งตรงนี้มันก็มีการวางแผน โครงการเองก็เป็นลักษณะนี้ ใช้พื้นฐานเดียวกันในการที่เราจะทำโปรเจกต์แต่ละโปรเจกต์ project manager พื้นฐานคือบริหารองค์รวมคือมองภาพรวมของงานทั้งหมด แล้วดูแลเรื่องของงบ คุณภาพขอบเขต จะวน ๆ อยู่แถวนี้ โปรเจคแรกเราอาจจะทำงานได้ไม่ดี แต่โปรเจคต่อไปเราสะสมประสบการณ์ อย่างน้อยคือเราจะได้มีทักษะที่แข็งแรงขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสามารถพัฒนาได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราด้วย ว่าถ้าเราชอบ งานลักษณะนี้มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทำโครงการก็จะสนุก แต่ถ้าเกิดอยากทำงานแบบเฉพาะทางมันก็จะทำงานคำนวณอย่างเดียว ออกแบบอย่างเดียว  แต่การบริหารโครงการจะเจอลักษณะที่แตกต่างกัน เราจะแก้ปัญหา และรับมือกับคนที่หลากหลายมากกว่า

ความทรงจำสมัยเรียนที่ มจธ.

ความประทับใจสมัยเรียน ในสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเป็นสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี KMUTT ความประทับใจ จริง ๆ มันค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่เรียนในมหาวิทยาลัย สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกดีตั้งแต่ปีแรกเพราะว่าผมเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ อย่างน้อยจะเห็นกรุงเทพฯว่าเป็นยังไง แต่ว่ามจธ.ช่วงนั้นยังดูไม่ใช่กรุงเทพฯเหมือนกัน เพราะว่ามีรถเมล์ 2 สาย จึงทำให้ช่วงนั้นเราใช้ชีวิตอยู่แต่มหาลัยไม่ค่อยได้ไปไหน เป็นเด็กต่างจังหวัดก็อยู่หอพักหลัก ๆ มหาวิทยาลัยเหมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 เราอยู่กับเพื่อน มีเพื่อน มีอาจารย์ ปีแรกเข้ามาก็ตั้งใจจะมาเรียนอย่างเดียว เพราะว่ากลัวสู้เขาไม่ได้ จึงทำให้ปีแรกไม่ค่อยได้คบกับเพื่อน ไม่ค่อยมีสังคม จนรู้สึกว่าเราควรที่จะสร้างเครือข่าย มีเพื่อนหาเพื่อน หลังจากนั้นมาเราเลยเริ่มทำกิจกรรม สมัยก่อนบางมดอาจจะไม่ค่อยสนับสนุนเรื่องกิจกรรมมากนัก ชมรมก็ตั้งกันเองผมอยู่ชมรมรักบี้ พอมีกีฬาก็จะพากันไปเล่นสนุก ซึ่งตอนนั้นถือว่าได้ใช้ชีวิต เพื่อนที่อยู่ในชมรมเดียวกันก็อยู่ต่างคณะ จึงทำให้เรารู้จักเพื่อนต่างคณะมากขึ้น ถ้าพูดถึงเรื่องของวิชาการของมหาวิทยาลัย วิชาการค่อนข้างแข็งแรง สมัยก่อนหลักสูตรของวิศวกรรมเคมี มีหลักสูตรตั้งแต่ 5 ปี 4 ปีครึ่ง และ 4 ปี ซึ่งผมเป็นรุ่น 4 ปีแรก ๆ มีหน่วยกิตเพิ่มขึ้นมา เลยทำให้ค่อนข้างเรียนหนักในปีแรก ๆ แต่หลังจากไปทำกิจกรรมก็รู้สึกว่าเรียนพอได้ก็พอแล้ว อาจารย์มีวิธีการสอนที่ใช้วิธีการที่ ใช้ประสบการณ์ในการสอนด้วย อาจารย์บางท่านเคยทำงานมาก็จะเอาประสบการณ์ต่าง ๆ มาแชร์ ซึ่งผมว่ามันได้ประโยชน์ อาจารย์ที่บางมดเป็นคนใจดี รับปรึกษาทุกเรื่องไม่ใช่แค่เรื่องเรียนอย่างเดียว 4 ปี ผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียดายที่เรายังไม่ได้ทำบางอย่าง แต่ว่าเราก็ถือว่าเราได้ทำสิ่งที่อยากทำบ้างแล้ว อันนี้คือสิ่งที่ประทับใจ สถานที่ด้วย เพราะบรรยากาศมันไม่ใช่กรุงเทพฯ อย่างที่บอกว่าเรามาจากต่างจังหวัดจึงทำให้รู้สึกว่าไม่ได้แตกต่างจากที่บ้านเท่าไหร่

ความรู้ที่ได้รับจาก มจธ. นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำงานอย่างไร

หลักสูตรตอนนั้นค่อนข้างหลากหลาย เรื่องวิชาความรู้ในมหาวิทยาลัยนี้ ตอนแรกรู้สึกว่าค่อนข้างที่จะหนักไปแต่พอเอาเข้าจริงวิชาเหล่านั้นมันเป็นวิชาหนึ่งที่เป็นพื้นฐานในการทำงาน เพราะว่าใช้งานได้จริง โดยหลัก ๆ ที่สอนมันเป็นพื้นฐานของการคำนวณแรงต่าง ๆ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันคือพื้นฐานทุกอย่างที่เราจะเอาไปใช้ในการทำงาน นำไปต่อยอดได้ ตอนที่เรียนเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเอาไปทำอะไรได้ แต่พอทำงานมันทำให้เราเห็นภาพว่าสิ่งที่เราเรียนมันอยู่ในสิ่งที่เราทำ มจธ. สามารถตอบโจทย์ในการทำงานที่ตรงสาย แต่ถึงจะสายอื่นก็สามารถนำความรู้ที่มีอยู่ไปต่อยอดได้

3 สิ่งที่สำคัญในการทำงานให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข

เรื่องแรกจะเป็นเรื่องของความรับผิดชอบและการใส่ใจคือเวลาเราทำงาน เราได้รับมอบหมาย ถ้าเรามีความรับผิดชอบมันจะเป็นตัวหนึ่งที่การันตีว่าเราจะสามารถทำงานให้สำเร็จได้ อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือความใส่ใจ นอกจากจะมีความรับผิดชอบแล้วยังต้องใส่ใจ ความใส่ใจคือเราต้องใส่ใจให้งานนี้ทำสำเร็จไม่ว่าวิธีการใดก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเราทำไปตามความรับผิดชอบ ตามหน้าที่ให้เสร็จจะดีไม่ดีเราไม่รู้ แต่ถ้าเราใส่ใจเข้าไปด้วยมันจะทำให้ตัวงานที่เราทำออกมาดี และเป็นที่พึงพอใจของคนที่เราทำงานให้ สิ่งที่ 2 คือเรื่องของความมุ่งมั่นถ้าเรามีความมุ่งมั่นในงานใดก็ตาม เราหลงใหลกับมัน เราทำงานกับมันด้วยความสุขเราจะหาวิธีการทำอย่างไรก็ได้ให้งานเราออกมาดีที่สุด สิ่งสุดท้ายมันจะตอบโจทย์เรื่องของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงตอนนี้หลาย ๆ อย่าง ทำเหมือนเดิมไม่ได้เราต้องมีความยืดหยุ่น เรามี activity มี flexibility ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าเราจะเจองานลักษณะไหน  เช่น ในการทำโปรเจคเมื่อก่อนเราอาจจะมีโปรเจคที่มีเงินเยอะ ระยะเวลายาว เราสามารถทำงานสบายได้ แต่ในโลกปัจจุบันเนื่องจากมีการแข่งขันสูง ใครทำโครงการเสร็จเร็ว สามารถทำได้เร็ว ก็จะดีกว่า  เพราะฉะนั้นเราต้องมีความยืดหยุ่นในการทำงาน นี่คือ 3 สิ่งที่ผมคิดว่ามีความสำคัญในการทำให้ประสบความสำเร็จ

ฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังจะจบการศึกษา

ขอแสดงความยินดี ที่จริงมันเป็นจุดหมายหนึ่งสำหรับชีวิตเรา ก่อนที่จะก้าวไปในขั้นตอนต่อไป อนาคตก็อยู่ที่เราวางไว้ ไม่ว่าจะทำงานหรือเรียนต่อ ในการเรียนเราไม่ควรจะเรียนอย่างเดียวจริง ๆ แล้วกิจกรรมต่าง ๆ ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยมันมีส่วนเสริมสร้างทำให้เรารู้จักผู้คน มีเครือข่าย มีทักษะในการสื่อสาร ซึ่งมีความจำเป็นในยุคปัจจุบัน เพราะว่าการทำงานสมัยนี้ต้องติดต่อผู้คนจะทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องทำงานเป็นทีม วิชาความรู้ที่เราได้รับมาเราต้องนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าเราจำเป็นที่จะต้องทำงานตรงสายอาชีพของเรา บางคนจบการศึกษาทางนี้ อาจจะไปประสบความสำเร็จในวิชาอีกด้านนึงได้  ถ้าเรามีแผนที่ดี เรามีทักษะที่จำเป็นแล้ว ในสมัยนี้เราต้องมีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีหรือ AI เข้ามาเสริมเติมให้ตัวเองมีศักยภาพ และประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานได้