ทำความรู้จักกับ “เจ้าน้อนตฤณ” มือคีย์บอร์ด น้องเล็กของ Yes Indeed Band

ตฤณ ฟูจิตนิรันดร์ หรือน้องตฤณของพี่ๆ มือคีย์บอร์ดสุดแสบแห่ง Yes Indeed Band นักเรียน ม.4 โรงเรียนดรุณสิกขาลัย โรงเรียนในกำกับของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กับนิยามความเป็นตัวเองของเขาที่ว่า เขาคือ หนุ่มน้อยจอมกวนที่รักในการเล่นดนตรี

เล่าเรื่องราวในเส้นทางดนตรี

น้องตฤณเล่าถึงที่มาของการเล่นดนตรีของเขาว่าเริ่มเล่นดนตรีมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ช่วงแรกที่เริ่มเรียนเขากดดันตัวเองถึงขั้นร้องไห้เพราะไม่สามารถเล่นออกมาได้ตามที่คาดหวังและเกือบจะเลิกเล่นดนตรีไปแล้ว จนได้รับกำลังใจและการปลูกฝังวิธีคิดใหม่จากคุณแม่ว่า “เราแค่เล่นดนตรีเพื่อให้เราได้มีความสุข” หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เริ่มฝึกฝนจากเพลงที่ชอบและเริ่มสนุกกับดนตรีขึ้นเรื่อย ๆ อีกจุดเปลี่ยนสำคัญในการที่หันมาเริ่มชอบดนตรี คือเดิมทีเขาเป็นเด็กติดเกมส์จนกระทบการเรียน เขาเลยหักดิบเลิกเล่นเกมส์และหันมาเล่นเปียโนแทน จนเริ่มสนุก อยากแสดงความสามารถทางดนตรีและมีความคิดอยากเล่นดนตรีเปิดหมวกอย่างจริงจัง

จุดที่ทำให้รักดนตรี

          อย่างที่เล่ามาข้างต้นว่าเขาเคยเป็นเด็กที่ไม่ชอบดนตรีและเกือบจะทิ้งไปแล้ว จนมีการปรับวิธีฝึกซ้อมโดยการใช้เพลงที่ชอบ จากความไม่ชอบจนเริ่มเปิดใจ เมื่อเปิดใจก็ได้พบมุมมองใหม่ๆ ได้เริ่มเรียนรู้การเขียนเพลง จนแปรเปลี่ยนเป็นความรักในที่สุด น้องตฤณบอกกับเราว่า พ่อแม่บอกเขาเสมอว่าการเล่นดนตรีไม่จำเป็นต้องไปเป็นนักดนตรีก็ได้ แค่ทำเป็นงานอดิเรกเพื่อให้ชีวิตมีความสุขก็พอแล้ว พ่อแม่คือแรงสนับสนุนและเปรียบเสมือนขุมพลังใจที่สำคัญของเขา

กว่าจะมาเป็นเจ้าแก้มของพี่ ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย

          น้องตฤณเล่าว่าได้มีโอกาสไปฟังพี่ๆเล่นสดในงานลอยกระทงที่เอเชียทีค เขาเล่าให้เราฟังด้วยแววตาที่เปล่งประกายและน้ำเสียงประทับใจว่า “ผมไม่สนใจบรรยากาศรอบข้างเลยครับ เป็นการลอยกระทงที่ไม่ได้แตะกระทงเลยครับ” เขานั่งฟังตั้งแต่เริ่มเล่นจนจบงาน คืนนั้นเขาตัดสินใจทักแชทเฟซบุ๊กแฟนเพจวงไปชื่นชม และบอกไปว่าเขาเล่นคีย์บอร์ดได้และสนใจอยากร่วมแจมด้วย คุณพ่อผู้จัดการวงตอบรับและให้โอกาสนั้นทันทีโดยยังไม่ได้ฟังเขาเล่นโชว์ด้วยซ้ำ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆบนเส้นทางดนตรีที่มีความหมายกับเขามาก

ปรากฏการณ์คืนชีวิตให้สยามที่ทำให้ Yes Indeed Band กลายเป็นไวรัลในโซเชียล

            น้องตฤณเล่าถึงบรรยากาศการแสดงสดที่สยามให้ฟังว่าความรู้สึกมันผสมผสานกันจนไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไรดี รู้สึกมีความสุขและอิ่มเอมใจมากๆ แฟนคลับมานั่งรอกันตั้งแต่เช้าแต่กว่าจะได้แสดงก็เป็นช่วงเย็น ได้เห็นทุกคนมีความสุขไปกับเรา ภาพทะเลดาวนับพันจากแฟลชมือถือที่ส่องแสงเคล้าคลอไปกับท่วงทำนองเพลง ยังคงตราตรึงอยู่ในใจเขา เขาอยากขอบคุณทุกคนมากที่สุดจากใจ มันมาไกลเกินกว่าที่หวังมาก เขาคาดหวังแค่อยากมาสนุกกับเพื่อนเท่านั้น เป็นอะไรที่เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมาย น้องตฤณยังเล่าต่ออีกว่าหลังจากเป็นไวรัลชีวิตยุ่งมากกว่าเดิมและแทบไม่ได้พักผ่อน ชีวิตจะวนลูป เรียน เล่นดนตรี เรียนพิเศษ แต่เขาก็สนุกและเต็มที่กับทุกอย่าง

การบาลานซ์ชีวิตในเส้นทางความฝัน

          อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราประหลาดใจในทัศนคติของเด็กชายอายุ 15 คนนี้ คือ ความฝันในเส้นทางอาชีพของเขา น้องตฤณฝันอยากจะเป็นหมอฟันเหมือนกับคุณพ่อและคุณปู่ เพราะเขาอยากจะช่วยเหลือคนให้มีสุขภาพอนามัยที่ดี อยากดูแลคนอื่น ซึ่งแน่นอนเขาก็จะไม่ทิ้งดนตรีซึ่งเป็นความสุขของเขาอย่างแน่นอน เขามีความเชื่อว่าทุกคนมีเวลาเท่ากันหมด อยู่ที่ว่าเราจะจัดสรรมันอย่างไรให้คุ้มค่าและเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน

การเรียนที่ดรุณเข้ากับไลฟ์สไตล์ของเราอย่างไร

          “ยอมรับเลยครับว่าก่อนเข้ามาที่นี่มีกังวลบ้าง แต่เมื่อเข้ามาแล้วโรงเรียนให้อิสระการเรียนรู้มากเลยครับ” เมื่อเข้ามาที่ดรุณแล้วเราจะสามารถเลือกเรียนได้ตามความถนัดและสิ่งที่สนใจจะศึกษา ที่นี่พร้อมรองรับความฝันของนักเรียนทุกรูปแบบ สำหรับคนที่อยากค้นหาตัวเอง ที่นี่จะช่วยให้เราค้นพบตัวเองว่าชอบอะไร หรือคนที่ค้นพบตัวเองอยู่แล้วที่นี่จะช่วยต่อยอดและผลักดันให้เราไปถึงเส้นทางที่ฝันอย่างมั่นใจ

สำหรับน้อง ๆ ที่เห็นพี่ตฤณเป็นไอดอลและอยากเก่งเหมือนพี่ตฤณ

          ทำจากความอยากอย่างเดียวเลยครับ ความอยากมันไม่ต้องพยายาม ไม่ได้มองที่ผลลัพธ์ที่เราจะทำว่าจะออกมาเป็นอะไร เพียงแค่เราต้องการและมุ่งมั่นในสิ่งที่เราอยากทำให้ถึงที่สุด แค่ได้ออกไปทำก็คือสำเร็จแล้วครับ

พลังของคนรุ่นใหม่กับการขับเคลื่อนสังคม

          สำหรับน้องตฤณมองว่าการที่เราช่วยซับพอร์ทซึ่งกันและกันเป็นเรื่องสำคัญมาก ตัวอย่างเช่นแค่ทุกคนตบมือให้ผมตอนเล่นดนตรี แค่นี้ผมก็มีกำลังใจในการเล่นดนตรีมากแล้วครับ อีกสิ่งที่สำคัญคือ การให้โอกาส เหมือนอย่างที่ตฤณได้รับโอกาสมาเป็นสมาชิกในวงนี้ จนมีวันนี้ วันที่เขาได้เป็นที่รักของทุกคน ส่งต่อการให้โอกาส สามารถก่อเกิดเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนสังคมให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

ฝากถึงน้อง ๆ และแฟนคลับ

          ไม่มีคำไหนนอกจากคำว่า “ขอบคุณจากใจจริงๆ ไม่มีแฟนคลับก็ไม่มีผมในวันนี้” ฝากติดตามผลงานแสดงของวงของเรา และผลงานเพลงที่กำลังจะมาในอนาคต น้องตฤณแอบกระซิบกับเรามาด้วยว่า ปลายปี 65 นี้จะได้มีโอกาสไปร่วมคอนเสิร์ตใหญ่ระดับประเทศ สามารถติดตามได้จากทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Yes Indeed Band

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวงดนตรีน้องใหม่นี้ถึงเป็นที่รักของทุกคน เพราะพวกเขาเต็มไปด้วยพลังงานบวกที่พร้อมส่งต่อไปให้คนอื่นด้วยความซื่อสัตย์ และเชื่อเหลือเกินว่าใครก็ตามที่ได้มีโอกาสอ่านบทสัมภาษณ์นี้จะหลงรักพวกเขาได้ไม่ยาก

ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก Yes Indeed Band