KMUTT’s spirit of pride ความหลากหลายของคน มจธ. บนเส้นทางสีรุ้งกับการขับเคลื่อนความฝัน และพลังแห่งความเท่าเทียม

คำกล่าวที่ว่า ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องสมบูรณ์แบบด้วย เราต่างน่าจะเคยได้ยินกันมา เพราะเราทุกคนต่างก็มีความรู้ ความเป็นผู้นำ ความสามารถ ความโดดเด่น ที่แตกต่างกัน แล้วศักยภาพของเราคืออะไรกันแน่ ขีดความสามารถสูงสุดที่เป็นไปได้ของบุคคลนั้น ถ้าหากได้รับโอกาส ใช้ความสามารถเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ (Collective Impact) และการส่งเสริมฝึกฝนอย่างเต็มที่และถูกทาง เราสามารถพัฒนาความสามารถที่มีอยู่ยิ่งขึ้นไปโดยไร้ขีดจำกัดได้หรือไม่ หากแต่สังคมปัจจุบันคนบางคน อาจต้องพิสูจน์ตัวเองไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สังคม ที่ทำงาน ซึ่งจริงๆ แล้วพวกเขาก็ยังเป็นเพียงแค่คนๆ นึง ที่อาจจะเก่งหรือไม่เก่ง มีความสามารถที่โดดเด่นหรือไม่โดดเด่น คนเหล่านี้ก็เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปคนนึง ที่ไม่ต้องการความคาดหวังในความสามารถในตัวพวกเขา

บทความนี้จะแบ่งปันเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงมุมมองเกี่ยวกับ LGBT+ Pride พลังแห่งความหลากหลายของสังคม มจธ. ที่พวกเขาเหล่านี้ต่างก็มีศักยภาพในตัวเอง ซึ่งแม้แต่เรื่องเพศสภาพก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัดด้านความสามารถของพวกเขาที่มี พวกเขาไม่ได้ต้องการ การยกย่อง เชิดชู สรรเสริญ แค่อยากได้โอกาสให้ได้ทำและแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ได้รับการปฏิบัติตามความสามารถโดยไม่ได้ตัดสินเพียงแค่เป็น LGBT+

และนี่เป็นบทสัมภาษณ์ของผู้คนที่แสดงความเป็นตัวตนของตัวเอง และความหลากหลายทางเพศ ที่ตอนนี้พวกเขาเหล่านี้กำลังเดินตามเส้นทางของตัวเองอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจ และที่สำคัญพวกเขาเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญ มีส่วนช่วยในการพัฒนายกระดับสังคมให้เข้าสู่สากล เราเลยอยากแบ่งปันมุมมองพลังแห่งความหลากหลายของสังคม มจธ.

พี่ม่อน – พัฒชยานันต์ ทรัพย์รวีกร บุคลากรของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีที่เป็นกำลังสำคัญโดยมีส่วนช่วยในพัฒนาทักษะนักศึกษา ปัจจุบันทำงานในตำแหน่งนักบริการการศึกษา ที่สำนักงานกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี งานอดิเรกของพี่ม่อนจะเป็นการดูคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียร์ โดยมีคำนิยามตัวตนสั้นๆ “ละมุน ละม่อมและกลมกล่อม” โดยคำนิยามนี้มาจากรุ่นพี่ในโครงการที่เคยเข้าร่วมได้ให้คำนิยามไว้ “เราเป็นตัวเล็กตัวน้อยในนั้นเลยมีคนเรียกบ่อยๆ ค่ะ”

พี่แบล็ค – ธีรภัทร์ แถลงธรรม ศิษย์เก่าของทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ปัจจุบันเป็น Creative Live Connect and Music ที่ GMM Grammy แต่มีความชอบ ความหลงใหล ในวงการนางงาม จึงมีงานอดิเรกที่นอกจากจะเป็นการร้องเพลงแล้วยังศึกษา เรียนรู้ พัฒนาทักษะที่ต้องใช้เกี่ยวกับเวทีนางงามในแต่ละเวทีเป็นประจำ จนมีคำนิยามตัวตนสั้นๆ คือ “สวย มั่นใจ ไม่กลัว พีเรียด!”

นักศึกษาจบใหม่ที่กำลังเดินตามเส้นทางความฝันทำงานหลังเรียนจบทันที โฟกัส – ศิรปภัชญ์ พรหมลิ จบการศึกษาปริญญาตรีที่คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา  ปัจจุบันทำงานเป็นครูที่โรงเรียนเอกชนสอนภาษา บนเกาะสมุย โดยคำนิยามที่เป็นตัวเองคือ “ไปให้สุด” ส่วนงานอดิเรกจะเป็นการดู YouTube เพื่อพัฒนาและหาความรู้เพิ่มเติมให้กับตัวเอง เพราะตอนนี้งานที่ทำเกี่ยวข้องกับคนหลากหลายเชื้อชาติ จำเป็นต้องพัฒนาคลังคำศัพท์อยู่ตลอด ทั้งยังเป็นการฝึกทักษะตัวเองไม่ว่าจะเป็นการพูด

แบม – ปรียาพร เมืองใจ ปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะสถาปัตยกรรม เป็นโครงการร่วมบริหารหลักสูตรมีเดียอาตส์และเทคโนโลยีมีเดีย สาขามีเดียทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ มีงานอดิเรกคือการฟังเพลง การถ่ายรูปและเต้น มีคำนิยามของตัวเองคือ “การค้นพบกล้อง” แม้เธอจะชื่นชอบการเต้นเป็นพิเศษ แต่เธอมักจะพกกล้องติดตัวแทบจะตลอดเวลา เธอชอบถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ เรียกได้ว่าหลงใหลในเสน่ห์ของรูปภาพที่ถูกถ่ายจากสายตาผ่านเลนส์กล้อง โดยเธอรู้สึกว่ารูปถ่ายเป็นความทรงจำที่ดี “ถึงสถานที่ ผู้คนนั้นจะเปลี่ยนไป แต่รูปยังอยู่เหมือนเดิม”

ชีวิตวัยเด็กกับความทรงจำที่ประทับใจ

พี่ม่อน – พัฒชยานันต์ ทรัพย์รวีกร โตมากับอาโกว (พี่สาวของพ่อ) ซึ่งเป็นบ้านใหญ่ ชีวิตจึงไม่ได้ลำบากหรือขาดอะไร โดยได้ใช้ชีวิตเที่ยวเล่นตามประสาวัยเด็กตามช่วงวัยที่ควรจะมี อาจด้วยความที่อยู่บ้านใหญ่ทำให้รู้สึกได้เติมเต็ม พี่ม่อนมีความทรงจำที่ประทับใจจากการที่มีคนคอยสนับสนุน พึ่งพา และช่วยเหลืออยู่เสมอ โดยในชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กมีเพื่อนและคนรอบข้างที่ดีมาโดยตลอด พี่ม่อนเชื่อว่า “การที่เราจะมีคนรอบข้างดี ตัวเราต้องดึงดูดคนอื่นได้ด้วย”

แบม – ปรียาพร เมืองใจ มีวัยเด็กที่มีความสนุกสนาน ความดื้อซนตามช่วงวัย เลยมีความทรงจำที่ดีมากมาย ด้วยความที่มีลูกพี่ลูกน้องเป็นผู้หญิงเยอะเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มแก๊ง โดยลูกพี่ลูกน้องจะพาทำสิ่งต่างๆ และทำวีรกรรมกันไว้เยอะมาก เรียกได้ว่าพ่อแม่ต้องกุมขมับในบางทีเลย แบมเล่าว่าตัวแบมเองนั้นติดพี่มาก เลยได้ใช้ช่วงเวลาไปกับพี่เยอะ ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม เล่นดนตรี และเต้น

พี่แบล็ค – ธีรภัทร์ แถลงธรรม มีความประทับใจในวัยเด็ก จากการที่มีเพื่อนทั้งผู้หญิงและผู้ชายยอมรับในตัวตน ทั้งยังคอยสนับสนุนในสิ่งที่ทำ แรงเชียร์จากเพื่อนที่อยู่รอบตัวทำให้มั่นใจ และกล้าที่จะลงมือทำอะไรบางอย่างที่อยากทำ รู้สึกถึงพลังผลักดันของคนรอบข้างในวันที่เรากลัว

โฟกัส – ศิรปภัชญ์ พรหมลิ ได้เล่าถึงชีวิตในวัยเด็กที่ได้ใช้ชีวิตตามช่วงวัย แต่อาจชอบเล่นกับผู้หญิงมากกว่าด้วยความที่มีลูกพี่ลูกน้องเป็นผู้หญิง เลยรู้สึกได้ซึมซับ โฟกัสยังได้เล่าต่อถึงกลุ่มเพื่อนวัยเด็กที่เล่นด้วย ว่าเขามีความอ่อนโยน อ่อนหวาน แต่ในตอนนั้นโฟกัสไม่ได้เข้าใจและความอยากที่จะเป็นผู้หญิง แค่รู้สึกว่าตรงนั้นเป็นพื้นที่ของเรา เราชอบ เราพอใจกับแบบนี้ แต่พอโตขึ้นมา ยิ่งได้เป็นตัวเองมากขึ้น ทำให้ได้เข้าใจว่าการที่เรารู้สึก การที่เราเป็นแบบนี้ ไม่ได้เป็นอะไรที่ผิดปกติ เลยยอมรับตัวเองมากขึ้น

ความสามารถพิเศษที่โดดเด่นและภาคภูมิใจ

“พี่ม่อน” ได้บอกเราว่าตั้งแต่เด็กคิดว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ยาก ไม่สามารถตอบได้เลย จนโตมาได้ใช้ชีวิตถึงได้เรียนรู้ว่าความสามารถพิเศษ มันไม่จำเป็นต้องมาในรูปแบบสิ่งที่จับต้องได้เสมอไปอย่าง ร้องเพลง กีฬา ดนตรี การที่จะตอบคำถามข้อนี้ได้เราต้องหมั่นสังเกตตัวเอง “พี่เป็นคนที่ค่อนข้างออแกไนซ์ จัดการข้อมูลและถ่ายทอดออกไปค่อนข้างดี โดยมาจากนิสัยส่วนตัว คือ พี่เห็นอะไรที่มันซับซ้อนและยากๆ พี่อยากทำความเข้าใจให้มันง่ายขึ้น และพี่สามารถนำไปถ่ายทอดให้คนอื่นในแบบที่เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน อีกทักษะคือ “การพูด” พี่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนชอบพูด ชอบเล่า ชอบสื่อสาร สร้างความประนีประนอม พี่รู้สึกว่าความสามารถนี้น่าภูมิใจเพราะมันสามารถเอามาใช้แทบจะทุกอย่างในชีวิต”

พี่แบล็ค: “ร้องเพลงค่ะ” พี่แบล็คตอบอย่างมั่นใจให้เราฟัง “ตอนที่เราร้องเพลง เรามีความมั่นใจ รู้สึกว่ามันทำให้เราโดดเด่น มันทำให้เราแตกต่าง ถ้าคนที่รู้จักจะรู้ว่าเราไม่ใช่แนวเพลงสดใส มันเลยกลายเป็นว่า เราโดดเด่นละ” และอีกความสามารถที่โดดเด่นไม่แพ้กันของพี่แบล็คนั่นคือ การเดินแบบ “เราอาจไม่ใช่นางแบบมืออาชีพ แต่เราทำทุกที่ให้เหมือนรันเวย์” จากความชื่นชอบกลายเป็นความหลงใหลและเกิดการพัฒนาทำให้พี่แบล็คได้เป็นเมนเทอร์ให้กับผู้เข้าประกวดในเวทีต่างๆ และอีกความสามารถพิเศษที่พี่แบล็คได้บอกกับเราอย่างภาคภูมิใจ นั่นคือ การตัดต่อรูปภาพโดยใช้ Adobe Photoshop ทักษะนี้เป็นสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตัวเองทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถดูและติดตามผลงานเพิ่มเติมของพี่แบล็คได้ทาง Instagram: scherzyblack

โฟกัส: “การพูด” สำหรับโฟกัส คือ การทำความเข้าใจข้อมูลและสื่อสารไปยังผู้ฟังให้เข้าใจง่ายขึ้น และอีกความสามารถที่ทำให้โฟกัสสมัครและทำงานเป็นครูที่เกาะสมุยนั่นคือ การพูดได้หลายภาษา โดยโฟกัสเล่าว่ามีความชื่นชอบ หลงใหล ความแตกต่างของภาษาในหลายๆ ประเทศ จึงศึกษาและหมั่นหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษซึ่งได้ในระดับกลาง ในตอนนี้กำลังฝึกภาษาฝรั่งเศสและภาษาเยอรมัน โดยภาษาเยอรมันมีพื้นฐานจากการเรียนในมหาวิทยาลัย และในอนาคตมีเป้าหมายอยากพูดภาษารัสเซียเพิ่มอีกหนึ่งภาษา

แบม: “เต้นค่ะ” แบมตอบอย่างภูมิใจ เพราะฝึกซ้อมการเต้นมาตั้งเด็ก โดยความสามารถนี้เริ่มจากความชอบ ไม่ว่าจะเป็นชอบฟังเพลง ชื่นชอบวงการ KPOP จากนั้นก็ฝึกเต้นและยิ่งเต้นยิ่งหายเครียดด้วย

ชีวิตการทำงาน/การเรียน

จากการได้พูดคุยกับ“พี่ม่อน” ถึงชีวิตการทำงาน พี่ม่อนได้เล่าถึงเส้นทางการทำงานตลอด 8 ปีที่ผ่านหลังจากจบใหม่ ตั้งแต่ยังค้นหาตัวเองฉบับเด็กจบใหม่ หางานที่ตัวเองชอบ ไปจนถึงการหาสมดุลระหว่างงานที่ทำกับการใช้ชีวิต สิ่งสำคัญจากการที่ได้พูดคุยครั้งนี้คือเรารับรู้ได้ถึงการไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองเสมอ และเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าเหมาะกับงานแบบไหนและสามารถทำได้ดีโดยที่มีความสุขในแต่ละวัน พี่ม่อนเชื่อว่าการทำงานที่มีความสุข เราจะไม่เบื่อและอยู่กับมันได้นาน

พี่ม่อน: ได้นำทักษะ ประสบการณ์กิจกรรมที่ทำช่วงศึกษาอยู่มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่น การติดต่อประสานงาน การทำกิจกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะ ทำให้นำมาปรับใช้ในตอนทำงาน โดยงานแรกที่ทำหลังจากจบใหม่ คือ งานที่เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาด้านโภชนาการ หลักจากนั้นทำงานเกี่ยวกับร้านอาหารออแกนิกส์ ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลสุขภาพทั้งหมด แต่เวลาในการทำงานไม่สมดุลกับการใช้ชีวิต จึงย้ายออกไปอยู่สายงานที่เป็นบริษัท มีความเป็นองค์กร งานที่ทำยังเป็นงานที่ตรงสาย คือ บริษัทที่รับทดสอบคุณค่าทางอาหาร ตำแหน่งคอยให้คำแนะนำลูกค้าในการตรวจสินค้า ไปจนถึงการประสานงานให้กับลูกค้า จากนั้นมีเพื่อนแนะนำโครงการ Teach For Thailand เป็นโครงการที่ขับเคลื่อนครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง เลยได้สมัครเข้าร่วมทำงาน โดยต้องได้ใบรับรองการสอนจากการเข้าร่วมหลักสูตรความเป็นครูระยะสั้น จึงทั้งเรียน อบรม สอบ ไปจนถึงการนิเทศการสอน ประเมิน ทำทุกอย่างเหมือนครูเพียงแต่เรียนในคอร์สระยะสั้น จนสุดท้ายได้ใบอนุญาตการสอน เลยรู้ตัวเองว่าชอบด้านการศึกษาจึงเข้าทำงานที่โรงเรียนนานาชาติ จากนั้นติดปัญหาเรื่องการเดินทางที่ไกลมันเลยทำให้ขาดสมดุล จึงย้ายไปอีกที่เกี่ยวกับ social enterprise กิจกรรมเพื่อสังคมมีงานหลายอย่างที่ได้ทำไม่ว่าจะเป็นการจัดการอาหารกลางวันเด็ก ที่จังหวัดน่าน ไม่ว่าจะเป็นออกแบบเมนูอาหารกลางวัน การอบรมให้ความรู้แม่ค้า ต้องเดินทางบินไปน่านบ่อยมาก สนุกมากกับการทำงานที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันได้มาทำงานที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยทุกวันนี้ยังรู้สึกชอบสอน ชอบให้คำปรึกษาและแนะนำ “ถ้าหาตัวเองเจอตั้งแต่แรกก็ดี แต่ถ้ายังค้นหาตัวเองไม่เจอไม่เป็นไร เพราะชีวิตคือการเรียนรู้อยู่แล้ว”

“พี่แบล็ค” ได้เล่าว่าชีวิตการทำงานตอนนี้ได้เจอสังคมการทำงานที่ดี ให้การยอมรับในตัวตนและให้โอกาสในการทำงานหลายอย่าง โดยจุดเริ่มต้นของการทำงานมาจากความชอบไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพลง หรือในวงการบันเทิง โดยได้รู้จักและร่วมงานกับคนในวงการหลายคน เช่น งานที่ทำเกี่ยวกับเพจและงานเบื้องหลัง คิดคอนเทนต์รายการได้ทำร่วมกับ พี่นก-KPN, พี่ปุ้ย The Voice Thailand ส่วนเวทีนางงามเริ่มจากรู้จักและได้ทำงานร่วมกับ “พูดได้มั้ยพี่จี้” เลยได้รับโอกาสจากตรงนั้นมาทำและต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่ต่อยอดจากการฝึกงานที่ Universal music Thailand หรือจะเป็นการเข้าสู่วงการนางงามแบบเต็มตัว ซึ่งในเวทีล่าสุดพี่แบล็คได้เล่าว่า ได้เป็นเมนเทอร์ให้กับ “รวงข้าว” ผู้เข้าประกวดเวที Miss Wellness World Thailand และยังมีเวทีที่ทุกคนต้องรู้จักเพราะโด่งดังและเป็นกระแสในสังคมตอนนี้อย่างเวที Miss Universe Thailand โดยพี่แบล็คได้เป็นเมนเทอร์ให้กับ “ฟีฟ่า”และ “แข” ซึ่งเป็นผู้เข้าประกวดในเวที Miss Universe Thailand Nonthaburi 2023, และ “มีนส์” ที่กำลังจะลงประกวดในเวที Miss Tourism World Bangkok 2023 โดยพี่แบล็คเล่าเพิ่มเติมว่า ไม่ได้เป็นคนดูนางงามมาตั้งแต่แรก แต่พอได้รับโอกาสจึงศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมของเวทีนางงามแต่ละบริบทแตกต่างกันอย่างไร เรียนรู้ทุกอย่างแบบใหม่หมด เรียกได้ว่าศึกษาตั้งแต่แรก เลยเริ่มชอบและทำมันอย่างสนุก

“โฟกัส” พูดถึงชีวิตการเรียนในช่วงที่อยู่มหาวิทยาลัยว่าเป็นชีวิตที่สมวัยอยู่ในกรอบไม่ได้โลดโผนเยอะ เพราะเป็นนักศึกษาที่เจอสถานการณ์ Covid-19 ทำให้ต้องเรียนอยู่บ้านค่อนข้างเยอะ กว่าจะได้เข้ามามหาวิทยาลัยอีกครั้งคือตอนชั้นปีที่ 4 แต่ก็พยายามทำกิจกรรมอื่นที่ทางมหาวิทยาลัยมีเพิ่มเติม จากการได้พูดคุยกับโฟกัส ได้รับรู้ถึงการวางแผนเพื่อไปยังเป้าหมายนั้น โดยโฟกัสได้มองหาโอกาส และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นทำกิจกรรมอาสาเป็นบัดดี้ (buddy) ให้กับนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และลงเรียนภาษาเยอรมันในวิชาเลือกเสรี ทำให้ได้ความรู้นำมาปรับใช้และพัฒนาทักษะความสามารถที่ จนตอนนี้โฟกัสได้เป็นครูในโรงเรียนเอกชนสอนภาษา บนเกาะสมุย

แบม: เล่าถึงชีวิตการเรียน สาขามีเดียทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ได้เรียนวิชาที่มีค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Drawing ทำ Packaging หนังสือ รวมไปถึงทุกอย่างที่เป็น Adobe ตลอดจนการทำหนัง ทำซาวน์ ปั้นโมเดล แบมบอกว่าการที่ได้เรียนวิชาที่หลากหลายเป็นโอกาสให้เราได้เลือก และนำไปต่อยอดพัฒนาในด้านที่เราชอบ แบมเล่าเพิ่มเติมว่าตอนทำหนังเป็นช่วงที่หนักที่สุด เพราะต้องเรียนปั้นโมเดลไปด้วย เรียนควบคู่กันไป ต้องทำงานส่วนตัวควบคู่กับปั้นโมเดลที่ต้องคิดไปด้วย แต่ในวิชาปั้นโมเดลนั้นกลับกลายเป็นความทรงจำที่ประทับใจมากที่สุด เพราะตอนนั้นเกิดเหตุไม่คาดฝัน แบมปวดแขนขวาจากการใช้น้ำหนักมือจากการปั้น และ ขั้นตอนของงานถัดไปคือการพิมพ์ปูนซึ่งเป็นส่วนที่ต้องใช้กำลังค่อนข้างเยอะ เพื่อนทั้งห้องเลยมาช่วยแงะปูนออกจากเรซิ่น แบมเลยประทับใจและรู้สึกดีมากๆ ที่เพื่อนเข้าใจและพร้อมเข้ามาช่วยเหลือ

สิ่งสำคัญและเป้าหมายในชีวิตตอนนี้ และความฝันสูงสุดในอนาคต

พี่ม่อน: พี่อยากใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุข” งานที่เราทำ แล้วเรามีความสุข เราจะไม่เบื่อและอยู่กับมันได้นาน แม้งานบางอย่างจะได้เงินเยอะแต่ทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันของเราเสียสมดุลไม่ว่าจะเป็นร่างกาย จิตใจ มันย่อมไม่ใช่งานที่มั่นคง พี่ม่อนบอกกับเราว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้หางานที่มันเหมาะสมกับตัวเอง เงื่อนไขของเรากับของคนอื่นย่อมไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้นเราเข้ากับตรงไหนมากกว่า “สิ่งสำคัญสำหรับพี่คือ พี่เอาความรู้สึกเป็นที่ตั้งไม่ว่าจะเป็นความสุข ความสนุก เพราะพี่อยากใช้ชีวิตที่สนุกและมีความสุขไปกับมัน แม้ตอนนี้จะอายุจะ 30 ปีแต่พี่ยังรู้สึกใช้ชีวิตยังน้อย พี่อยากออกไปเจอ สถานที่และสังคมใหม่ๆ  เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ไปเห็นมุมมองที่ต่างไปจากเดิม เพราะฉะนั้นนอกเหนือจากการใช้ชีวิตให้มีความสุขและสนุกในแบบของตัวเองแล้ว ความฝันคือการท่องเที่ยวต่างประเทศ ดังนั้นพี่แค่คิดว่า เราควรเก็บเงินในประมาณนึงและหาเวลาออกไปเที่ยวบ้าง งานตรงนี้มันมั่นคงอยู่แล้ว เพียงแค่เราอยากออกไปเจอ เปิดมุมมองใหม่ๆ”

การพัฒนาตัวเองอย่างไม่สิ้นสุดฟังดูจะเข้ากับพี่ม่อนมาก และเราสัมผัสได้ถึงแพสชั่นในน้ำเสียงตลอดการสัมภาษณ์ 1 ชั่วโมงนั้น

“พี่แบล็ค” ได้บอกกับเราว่าในตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อะไรไว้ เพราะอยากใช้ชีวิตให้สนุกไปก่อน “ทำวันนี้ให้ดีที่สุดนั่นแหล่ะคือเป้าหมายในชีวิตในตอนนี้” โดยพี่แบล็คยังบอกอีกว่าในอนาคต ยังไม่รู้ว่าอาจอยากทำอย่างอื่นนอกจากงานที่ทำตรงนี้ เพราะเชื่อว่าตอนนี้ยังมีแพสชั่น ยังมีไฟ เลยไม่ได้ตั้งเป้าหมายหรือความฝันสูงสุดในอนาคตไว้ เพราะวันข้างหน้าความชอบอาจเปลี่ยน จึงไม่อยากกดดันตัวเอง เพียงแค่ตอนนี้ทำทุกวันให้เต็มที่ที่สุด แค่นั้นพอ

โฟกัส: “เป้าหมายในชีวิตตอนนี้คืออยากจะเป็นครูให้ได้เต็มเวลาและสามารถทำให้เด็กพอใจกับที่เราสอนได้” โฟกัสบอกว่าแม้ตอนนี้เราอาจเป็นส่วนเล็กๆ ขององค์กรแต่ความฝันสูงสุดในอนาคตของโฟกัส คือการเปิดโรงเรียนสอนเป็นของตัวเอง โดยเราสามารถเริ่มอะไรคนเดียวได้เพราะพื้นฐาน ประสบการณ์ด้านนี้เรายังน้อย เราต้องหาสังกัดก่อน เพื่อเป็นแนวทางให้เห็นถึงกระบวนการทำงาน ระบบแผน หน้าที่ต่างๆ โดยสิ่งสำคัญคือการสังเกตตัวเองและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพราะเมื่อเรามีเป้าหมายแล้ว เราต้องทำตัวเองให้เหมาะสมกับเป้าหมายนั้นที่เราตั้งไว้

แบม: สิ่งสำคัญและเป้าหมายในชีวิตตอนนี้คือการหาที่ฝึกงาน เพราะตอนนี้อยู่ปี 3 จะเริ่มฝึกงานตอนปี 4 เทอม 2 สถานที่ฝึกงานมีคิดไว้สองที่เป็นร.พ.ใหญ่ทั้งคู่ โดยอยากฝึกในตำแหน่งถ่ายภาพทางการแพทย์ ที่เป็นการถ่ายภาพผ่าตัด โดยแบมเล่าเพิ่มเติมถึงวิชาที่ได้เรียนคือวิชาถ่ายภาพทางการแพทย์ว่าอยากนำสิ่งที่ได้เรียนมาทำจริงๆ และความฝันสูงสุดในอนาคตคือ “การเป็นช่างภาพ” อยากเป็นช่างภาพที่ต่างประเทศ หรือเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง

มุมเล็กๆ ในใจที่คนอื่นอาจจะไม่สามารถรับรู้ได้จากภายนอก

พี่ม่อน: “หลายๆ คนที่คุยกับเรา อาจมองว่าเราร่าเริง น่ารัก สดใส นอบน้อม ในใจลึกๆ เราเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวกับคนรอบข้าง สิ่งแวดล้อม” พี่ม่อนได้เปิดใจเล่าเหตุการณ์ที่เคยพบเจอ พูดถึงความรู้สึกที่กลายมาเป็นทักษะ ทักษะที่เป็นคนเข้าใจความรู้สึกคนอื่นค่อนข้างดี และสิ่งๆ นี้มันเกิดมาจากตอนที่ทำงานร่วมกับเด็กบ่อย   เมื่อเราจะไปสอนคนอื่น ช่วยเหลือคนอื่น ในบางครั้งเราอาจเผลอไปตัดสินแทนเขาว่าทำได้หรือทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้รู้เรื่องราวที่ผ่านมา ประสบการณ์ที่เขาเจอเป็นอย่างไร งานที่ทำจากการเป็นครูทำให้ ได้เข้าใจ เรียนรู้และนำทักษะมาปรับใช้เยอะมาก มันเลยทำให้กลายเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บคำพูด เก็บเรื่องที่พบเจอมาคิดค่อนข้างเยอะ

พี่แบล็ค: มีบางมุมในการตัดสินใจบางอย่างไม่ได้เด็ดขาดและช้า เราจะหาเหตุผลมาคิด รองรับเยอะมาก คิดเป็น Step การเกิดเหตุและผลที่ตามมาเป็นข้อๆ เราจะมีเหตุผล ความรู้สึกของคนอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วย ทำให้ในบางครั้งที่มีเรื่องของคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง มันทำให้เราไม่มั่นใจในตัวเองในบางเวลา

ในส่วนทั้ง “โฟกัส”และ “แบม” ตอบคำถามในข้อนี้คล้ายๆ กันคือ แม้คนภายนอกจะมองว่าพวกเขาร่าเริง มีอารมณ์ขัน พูดคุยเก่ง แต่ในบางครั้ง เราทุกคนล้วนมีมุมที่เป็น Safe Zone เป็นพื้นที่ปลอดภัย ปลอดภัยจากการถูกตัดสิน ปราศจากสายตาของคนข้างนอก ไม่จำเป็นคิดว่าเขาคิดยังไงกับเรา และเขากำลังรู้สึกยังไง และบางครั้งเซฟโซน อาจหมายถึงพื้นที่ที่ปราศจากการตำหนิตัวเอง ต่อว่าตัวเอง

เราทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่สามารถมีพื้นที่ที่เรารู้สึกว่าเราอยู่แล้วรู้สึกผ่อนคลายกับมัน เรามองว่าเราเป็นคนที่ผิดได้ อ่อนแอได้ แพ้ได้ โดยที่ตัวเราเองไม่ได้รู้สึกว่ามันคือความหนัก ความรู้สึกผิด

ความท้าทายที่รออยู่

พี่ม่อน: ชีวิตในตอนนี้มีสิ่งที่ท้าทายรออยู่คงจะเป็นกิจกรรมใหม่ๆ นักศึกษาใหม่ๆ รวมไปถึงบุคลากรที่ยังไม่ได้ร่วมงาน ทุกคนล้วนเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ท้าทาย รวมไปถึงการท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่ๆ ออกไปเที่ยวไกลๆ ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักเรา และเราก็ไม่ได้รู้จักใคร อยากไปเจอผู้คนที่พูดคุยคนละภาษา ซึ่งตัวพี่ม่อนเองมีความชื่นชอบในด้านการพูดอยู่แล้ว เลยอยากท้าทายตัวเองในด้านการสื่อสารกับคนที่ไม่ได้พูดคุยภาษาเดียวกันโดยการออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ จากการพูดคุย

พี่แบล็ค: ชีวิตตอนนี้มีสิ่งที่ท้าทายรออยู่ทุกวันไม่ว่าจะเป็นโปรเจ็คใหญ่จากงานประจำที่ทำอยู่ และเวทีนางงามซึ่งเป็นงานที่เกิดจากความชอบ ความหลงใหล ด้วยรายละเอียดมากมายตามบริบทเวทีต่างๆ ที่เราต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาของงาน กับสิ่งที่ต้องจัดการหรือปัญหาที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ต้องไม่หยุดที่จะพัฒนาในส่วนนี้ และเรากำลังทำงานประจำร่วมกับงานที่ชอบไปด้วย มันเลยเป็นสิ่งที่ท้าทาย มากๆ

ชีวิตที่ผ่านมา คิดว่าบทเรียนไหนที่สำคัญกับการใช้ชีวิต ที่ทำให้คุณเป็นคุณในวันนี้

พี่ม่อน: ช่วงหลังๆ มา รู้สึกว่าตัวเราใส่ใจตัวเองมากขึ้น ทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนเราอาจทำเพื่อคนอื่นเยอะ เลือกงานจากสิ่งที่เราชอบ อาจเป็นงานอาสา งานเพื่อสังคม งานเพื่อมูลนิธิ เราเคยนำแนวคิดอิคิไกมาปรับใช้กับการเลือกงานที่ทำ ดังนั้นในตอนนี้จึงปรับแนวคิดอิคิไกของตัวเองโดยเพิ่มเงื่อนไขอีก 1 ข้อ คือ ทำแล้วเราต้องมีความสุข อยู่ในจุดที่เราสมดุล เรารับได้ มีมิติของตัวเองเข้ามาประกอบมากขึ้นกับการตัดสินใจทำงาน “ทำแล้วเราต้องไม่ลืมดูแลตัวเอง”

พี่แบล็ค: ทุกสิ่งอย่างที่ผ่านมาเข้ามาในชีวิต ล้วนเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เราเป็นเราในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนที่ดี หรือบทเรียนที่แย่ มันสอนให้เราหลบหลีก เรียกอีกอย่างว่ามีภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทันเพิ่มมากขึ้น

โฟกัส: การที่เราคาดหวังสิ่งต่างๆ มากเกินไปแล้วมันไม่เกิดขึ้น เมื่อผ่านตรงนั้นมาได้ เราจึงได้รู้ว่าควรมีภูมิคุ้มกันที่หมายถึงการเผื่อใจเมื่อสิ่งที่เราคิด เราคาดหวังอาจไม่ได้เป็นไปตามที่เราวางไว้ เพราะในบางครั้งชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คิดเสมอไป เราอาจเสียใจจนทุกอย่างมืดดำ แต่ถึงอย่างนั้นเราทุกคนอดไม่ได้ที่จะเกิดความคาดหวังลึกๆ ในใจ เมื่อเราทำสิ่งหนึ่งอย่างเต็มที่ เราแค่ต้องประคับความคาดหวังนั้นไม่ให้มันล้นปริ่มจนเกินไป

แบม: เป็นเด็กซิ่วที่เลือกศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ การที่ต้องซิ่วจึงเป็นบทเรียนสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตที่จดจำตลอดมา แบมได้เล่าต่ออีกว่าตอนเลือกมหาวิทยาลัยมีทั้งที่ผิดหวังและไม่ผิดหวัง ทำให้ต้องคิดหลายเรื่อง รวมถึงการไม่เรียนต่อในระบบมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่กดดัน เครียด เพราะการตัดสินใจบางอย่างส่งผลต่อตัวเองในอนาคต และผลของการตัดสินใจ ในบางครั้งก็ไม่สามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลงผลนั้นได้ นอกจากเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

การแสดงออกทางตัวตนที่ชัดเจน

พี่ม่อน: เป็นหนึ่งในคนที่แสดงออกทางตัวตนที่ชัดเจน พี่ม่อนได้บอกกับเราว่า ชีวิตที่ผ่านมาพบเจอกับคนที่เข้าใจและรับฟังมากมาย คนที่เขาเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อตัวเรา เขาอาจมีมุมมองในแบบของเขา เราก็ต้องวางตัวในแบบของเราให้เขาค่อยๆ เรียนรู้ เพราะเราไม่สามารถทำให้คนตรงหน้ายอมรับเราได้ทันที และในการรับมือกับคนที่ปฏิบัติกับเราอย่างไม่เท่าเทียม สิ่งแรกเราต้องยอมรับตัวตนของเราให้ได้ก่อน ข้างนอกจะเป็นอย่างไรเป็นสิ่งที่เราต้องรับมือ เป็นเรื่องของปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมมันได้ ท้ายที่สุดคือ เผชิญหน้าใช้วิธีของเราในการรับมือ แน่นอนว่าความรู้สึกของเขาในบางครั้งอาจมาจากติดลบ แค่เราต้องทำให้มันกลับมาเป็น 0 เพราะเราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปเหมือนกัน แม้บางครั้งเราอาจทำให้เขายอมรับเราไม่ได้ ท้ายที่สุดเราต้องมาตกตะกอนตัวเรา “เอาตัวเองเป็นหลักก็พอ”

พี่แบล็ค: การแสดงออกทางตัวตนที่ชัดเจนส่งผลต่อการทำงานในทางที่ดี เมื่อบริษัทหรือเพื่อนร่วมงานเห็นศักยภาพ ความสามารถที่เรามีทำมันอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เราเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากขึ้น กล้าที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกขั้น แต่ถ้าหากต้องรับมือกับคนที่ปฏิบัติกับอย่างไม่เท่าเทียมหรือทางลบเราต้องยอมรับและบอกตัวเองให้ได้ก่อนว่า “ฉันเป็นใคร” เพราะฉะนั้นเมื่อสุขภาพจิตเรามั่นคง สิ่งภายนอกที่มันไม่ดีจะส่งผลต่อเรายากและชีวิตยังเป็นของเราเหมือนเดิม “ถ้าเรายังไม่รักตัวเองเราจะไปรักใครได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจ ว่าเขาจะมองเรายังไง เขาจะปฏิบัติไม่เท่าเทียมกับเรายังไง เราใช้ชีวิตของเราให้ดีที่สุด และแสดงให้เขาเห็นว่าการที่มาดูถูกเรา เขาทำได้เท่าเราหรือเปล่า”

โฟกัส: ได้เล่าว่าการแสดงออกทางตัวตนที่ชัดเจนของโฟกัส ทำให้ที่ผ่านมาได้รับการปฏิบัติแบบผู้หญิงทั่วไป เพื่อนๆ ในมจธ. ยอมรับตัวตน แม้อาจมีบางคนที่อยากจะพูดบางอย่าง แต่ดีแล้วที่เขาเลือกที่จะเก็บไว้ เราแค่อยากใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาคนนึง ที่ไม่ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นในส่วนที่มันควรจะเป็น เราไม่ต้องการความคาดหวัง เพราะเราเป็นเพียงมนุษย์คนนึงที่มีความบกพร่อง ไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นหยุดคาดหวังว่าพวกเราจะเป็นอย่างที่เขาต้องการ

แบม: “การแสดงออกทางตัวตนที่ชัดเจนส่งผลดีต่อการดำเนินชีวิตมาก ทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา ยอมรับและให้เกียรติตัวตนของเราในทุกๆ แง่มุม” แบมเล่าเพิ่มอีกว่า ที่ผ่านมายังไม่ค่อยเจอประสบการณ์ที่ไม่ดี และอีกเหตุผลคือไม่ได้ใส่ใจเก็บเรื่องคนที่ปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม หรือในทางลบมาคิด แต่ถ้าหากต้องรับมือ คงจะเป็นการที่เราไม่ให้ค่าคนพวกนั้น ไม่สนใจแม้พวกเขาจะทำอะไร เราควรที่จะโฟกัสแค่คนที่ดีและเข้าใจยอมรับในตัวเรา หรือท้ายที่สุดหากมันรู้สึกแย่มากๆ เกินขีดจำกัดที่ตัวเรารับไหว เราต้องพูดออกมาให้เขาได้รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำนั้นมันทำให้เขาดูแย่ และเมื่อในชีวิตนี้มีคนเข้ามาและจากไปนับไม่ถ้วน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องรับทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาในชีวิต เราควรจะแคร์ตัวเองมากที่สุด เพราะคนสุดท้ายที่จะอยู่กับเราคือเราและเรามีคนเดียวในโลก

วิธีคิดแบบไหนที่จะทำให้เรารู้สึกว่า “มั่นใจในตัวเอง”

พี่ม่อน: เวลาที่เราจะสร้างความมั่นใจในตัวเอง คือ การนึกถึงสถานการณ์ที่ไม่ดีที่อาจเกิดขึ้นกับเรา และหาวิธีรับมือเมื่อต้องเจอ เป็นการเตรียมความพร้อมเมื่อสถานการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง มันทำให้เรามั่นใจขึ้นเมื่อเราเผื่อใจและตัวเราจะได้ไม่ตกใจมาก ในบางครั้งสิ่งที่เตรียมพร้อมไว้อาจไม่ตรง 100% แต่มันจะมีแนวทางการรับมือเมื่อเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้น

พี่แบล็ค: เราต้องรู้สึกมั่นใจจากภายในตัวเราก่อน มันถึงจะส่งผลต่อสิ่งที่ทำออกมา และการที่มีคนรอบข้างคอยสนับสนุนเป็นอีกอย่างที่เป็นพลัง ให้เรากล้าที่ทำเพิ่มมากขึ้น

โฟกัส: เราจะบอกตัวองอยู่เสมอ ทุกคนสามารถทำสิ่งนี้ได้ ฉันต้องทำสิ่งนี้ได้เหมือนกัน มันไม่ได้มีกรอบ ไม่มีข้อจำกัดใดๆ หากสักวันเรามีเป้าหมายในการประกอบอาชีพ เราต้องลองพยายามและทำดู เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราสมควรที่จะได้รับและเหมาะสมกับอาชีพนี้หรือเปล่า ดังนั้นมั่นใจและลองทำดูสักครั้ง

แบม: หนึ่ง ทุกครั้งที่ตื่นมา เราจะบอกกับตัวเองเสมอเราจะแต่งตัวแบบไหนที่ทำให้เรามั่นใจในตัวเองก่อนออกไปข้างนอกและบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าวันนี้มันดีแล้ว สอง คำพูดของคนรอบข้าง ที่สนับสนุนการแต่งตัวของเรา

มีอะไรที่คุณรู้สึกว่าต้อง “ขอบคุณ”

พี่ม่อน: ขอบคุณตัวเองที่ยังสู้กับทุกอย่างในชีวิต และดูแลตัวเองมาได้ขนาดนี้ และอยากขอบคุณคนดีๆ รอบตัวไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน เราจำได้หมดคนที่ดีต่อไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน เราเชื่อว่าในทุกๆ ที่ทำงานมีคนดีๆ อยู่ในนั้น

พี่แบล็ค: มีสิ่งที่ต้องขอบคุณเยอะมาก ขอบคุณตัวเองที่ยอมรับในการเป็นตัวเองและเข้าใจว่าตัวเราคือใครขอบคุณสังคมรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมงานที่เข้าใจเรา ขอบคุณหลายๆ โอกาสที่เข้ามาให้เราได้ลองทำ ขอบคุณประสบการณ์ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีที่เข้ามาสอนบทเรียนให้กับชีวิตที่ทำให้เราเป็น The Best version ในวันนี้

โฟกัส: ขอบคุณที่ตัวเองเป็นคนที่มองหาโอกาสตลอดเวลา กล้าที่จะเปิดใจรับโอกาสและได้ลองทำ ลองพยายามด้วยตัวเอง

แบม: ขอบคุณทั้งคนที่เข้ามาและออกไปในชีวิตที่ผ่านมา และขอบคุณคนที่ยังอยู่กับเรา ขอบคุณที่ทำให้เราได้เรียนรู้ และขอบคุณคนๆ นึงที่ทำให้เราเติบโตเป็นเราในทุกๆ วันนี้ และขอบคุณคนๆ นึงที่เป็นรอยยิ้มของเดือนที่แล้ว คุณน่ารักมากที่เข้ามาเป็นรอยยิ้มของเรา

แบ่งปันมุมมองต่อเรื่อง LGBT+ ในสังคม และการขับเคลื่อนความเท่าเทียมและเปิดรับทุกความแตกต่างในสังคมอย่างไร

พี่ม่อน: เมื่อก่อนสังคมไม่ได้เปิดรับเท่านี้ พี่เชื่อว่าส่วนใหญ่เราใช้ชีวิตแบบนักสู้พอสมควร เราต้องพิสูจน์ตัวเองกับครอบครัว สังคม ที่ทำงาน ซึ่งในความจริง เราเป็นเพียงแค่คนนึงที่จะเก่งหรือไม่เก่งก็ได้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตแบบปกติที่คนทั่วไปเขาทำกัน เราไม่ได้ต้องการ การยกย่อง เชิดชู สรรเสริญ ไม่ต้องภาคภูมิใจในตัวเราก็ได้ เราแค่ต้องการให้ทุกคนมองคนเป็นคน เราก็พร้อมที่จะขับเคลื่อนความเป็นตัวของตัวเองควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะ ใช้ความสามารถที่มีอย่างเต็มที่ และในอนาคตพี่อยากให้ LGBT+ สามารถอยู่ได้ในทุกบริบททุกภาคส่วน อยู่ในอาชีพที่ในตอนนี้อาจไม่ทำได้ เช่น นักกฏหมาย อัยการ ข้าราชการ ครู ผู้อำนวยการ อบต. ผู้ใหญ่บ้าน เราสามารถเป็นผู้นำได้ เราแค่อยากขอโอกาสให้เราได้รับการปฏิบัติได้ทำตามความสามารถโดยไม่ได้ตัดสินเราเพียงแค่เป็น LGBT+

แบม: อยากให้สังคมไทยขับเคลื่อนความเท่าเทียมที่เท่าเทียมกันโดยไม่มีเงื่อนไข ถึงแม้เราจะเกิดมาเป็น LGBT+ แต่มันไม่ได้กีดขวางศักยภาพในตัวเรา และวันนี้ถ้าเรามีเสียงที่จะพูด เราอยากจะบอกว่า แม้ตอนนี้เราเกิดมามีข้อจำกัดด้านเพศ แต่มันไม่ใช่ข้อจำกัดด้านความสามารถของเรา เพราะโลกนี้มีคนหลากหลายแบบมาก และมันไม่ได้ผิดที่เกิดมาเป็นแบบนี้ เราแค่ต้องยอมรับและให้เกียรติความหลากหลายด้วยคำว่าเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน

พูดให้กำลังใจคนที่ยังไม่มั่นใจและกล้าที่จะเป็นตัวเองในทางสร้างสรรค์

พี่ม่อน: พี่สนับสนุนให้ทุกคนภูมิใจในตัวเอง ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากใช้ อยากทำงานอะไรเธอทำ อยากเป็นคนแบบไหนเธอเป็น อยากให้ขับเคลื่อนตัวเองด้วยประโยคนี้ “ถ้าคุณมั่นใจว่าสิ่งที่คุณทำมันไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ไม่มีใครได้รับผลกระทบทางร้าย ทางแย่จากสิ่งที่เราทำ เราควรมั่นใจและทำไปเลย โดยใช้สิทธิและเสรีภาพที่เรามี ไม่ต้องคิดมากสุดท้ายแล้วถ้าเรามัวแต่กลัว เราอาจจะไม่ได้ทำมันอีกและมันคงจะไม่ใช่เรา ทำอย่างไรให้ชีวิตเราสนุกและมีความสุขกับการใช้ชีวิต และอีกอย่างการที่เรากล้าที่จะเป็นตัวเองในทางสร้างสรรค์มันทำให้คนอื่นเรียนรู้และยอมรับในตัวตนของเราง่ายขึ้นนะ”

พี่แบล็ค: “Be yourself เป็นตัวของตัวเอง และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เมื่อไหร่ที่คุณเชื่อมั่นในตัวเองคุณจะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น บางคนสามารถเดินแบบได้แต่มีความไม่มั่นใจเรื่องหุ่น อะไรแบบนี้ ก็อยากจะให้ลองทำ แค่กล้าก็ชนะแล้ว” มันเป็นพลังเมื่อเราลงมือทำอะไรสักอย่าง

โฟกัส: ความหลากหลายมันมีทั่วไป อยู่ที่เราทำแล้วมันไม่เดือดร้อนใคร เราสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากจะเป็นแต่มันต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม การเป็นตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด ดังนั้นเราอย่าไปให้คุณค่ากับอะไรที่เรารับไม่ไหว อันไหนเป็นคำแนะนำที่ดีเราเก็บไว้และพัฒนาตัวเอง เราเชื่อว่าทุกๆ คนไม่ว่าจะเพศไหนก็ตามมีความฝันทั้งหมดเพราะฉะนั้นจงเดินตามความฝันของตัวเองแล้วไปให้สุด ไปให้ดี ความสำเร็จมันจะเกิดขึ้นเองกับชีวิตของเรา

แบม: อยากให้สื่อสารกับตัวเองอยู่เสมอ เพราะการสื่อสารกับตัวเอง จะเป็นพลังบวกที่มาจากภายในตัวเราแสดงออกสู่ภายนอก ทั้งยังส่งต่อไปยังคนรอบข้างได้อีก

จากการได้สัมภาษณ์ผู้คนที่แสดงความเป็นตัวตนของตัวเอง และความหลากหลายทางเพศ เราได้เห็นมุมมอง การใช้ชีวิต สิ่งสำคัญและเป้าหมายของพวกเขา ไปจนถึงสิ่งที่ท้าทาย บทเรียนครั้งสำคัญ เรารับรู้ได้ว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นนักสู้ มีเรื่องราวความฝัน ความหวัง ความชอบ ความหลงใหล และศักยภาพในตัวเอง เรายังรับรู้ได้ถึงพลังบวกผ่านคำพูดที่ได้จากการสัมภาษณ์ส่งออกมาจากการมีทัศคติที่จากการใช้ชีวิต เราเชื่อว่าการใช้ชีวิตด้วยทัศคติที่ดีจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตเป็นเหมือนกฎแรงดึงดูดที่นำพาให้ตัวเราและคนรอบข้างเจอแต่สิ่งที่ดี และจะคัดสรรบางอย่างให้เหมาะกับตัวเรา

เราทุกคนต่างมีสิ่งสำคัญ เป้าหมายและความฝันในอนาคต ที่ต้องการโอกาสบางอย่างที่เข้ามาในชีวิต

หากเราได้รับการส่งเสริมฝึกฝนอย่างเต็มที่และถูกทาง เราเชื่อว่า เราจะสามารถแสดงศักยภาพขับเคลื่อนสังคมโดยไร้ขีดจำกัดใดๆ

เช่นเดียวกันกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เราสนับสนุนความเป็นผู้นำให้ทุกๆ คนใช้ความสามารถเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่
(Collective Impact) และที่นี่เรามองเห็นศักยภาพ ความสามารถของบุคคลมากกว่าเพศสภาพ

หากองค์กร หรือหน่วยงานอื่นๆ มองเห็นความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น

เส้นของความเท่าเทียมคงจะเท่ากัน

_____________________________________________