ข้ามพรมแดนความรู้และความร่วมมือทางวิชาการเพื่อเข้าใจปรากฏการณ์สังคม งานภาคสนามนิเวศอ่าวระยอง 

การทำความเข้าใจความซับซ้อนของสังคมและธรรมชาติ ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยสายตาของศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งเพียงลำพัง อ่าวระยอง พื้นที่ที่เต็มไปด้วยระบบนิเวศชายฝั่งที่เปราะบาง ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ละเอียดอ่อน และแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมและเหตุการณ์น้ำมันรั่วจึงเป็นตัวอย่างชัดเจนของ “พื้นที่ปัญหาที่ต้องการการทำงานข้ามศาสตร์” เพื่อเข้าถึงและเข้าใจความจริงหลายชั้นที่ซ่อนอยู่ 

ด้วยเหตุนี้ ความร่วมมือระหว่าง ผศ.ดร.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ และ ดร.สุรัตน์ เพชรนิล จากหลักสูตรสังคมศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะศิลปศาสตร์ ดร.นรชาติ วงศ์วันดี จาก ศูนย์ส่งเสริมและสนับสนุนมูลนิธิโครงการหลวงและโครงการตามพระราชดำริ (RSC: KMUTT Social Lab) และ ผศ.ดร.ธิดารัตน์ บุญศรี จากคณะวิทยาศาสตร์ จึงก่อรูปขึ้นเป็นทีมสหวิทยาการที่ลงพื้นที่ร่วมกับชุมชนประมงพื้นบ้านรอบอ่าวระยอง ในระหว่างวันที่ 9 – 10 ธันวาคม 2568 เพื่อศึกษาระบบนิเวศ วัฒนธรรมของการทำประมง และร่วมกันสำรวจว่า ชุมชนชายฝั่งเข้าใจและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไร  

ความร่วมมือนี้มิใช่เพียง “การพานักศึกษาลงพื้นที่” แต่คือการออกแบบพื้นที่การเรียนรู้ให้กลายเป็น Social–Ecological Laboratory ซึ่งนักศึกษาได้เรียนรู้ควบคู่ไปกับการทำงานจริงของอาจารย์และชุมชน การสนทนากับชาวประมง การทำแผนที่ฤดูกาลสัตว์น้ำ การเก็บข้อมูลภาคสนาม และการตีความปรากฏการณ์เชิงนิเวศ ล้วนทำให้ผู้เรียนเห็นภาพระหว่างศาสตร์วิทยาศาสตร์  สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์เชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบ 

KMUTT Social Lab ช่วยเปิดพื้นที่กลางสำหรับกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Approach) ที่ให้ชุมชนเป็นผู้ร่วมออกแบบความรู้ ขณะเดียวกัน ความเชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศของคณะวิทยาศาสตร์ช่วยเสริมให้ข้อมูลพื้นที่มีมิติด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ ส่วนคณะศิลปศาสตร์คือผู้เชื่อมโยงข้อมูลให้กลายเป็นภาพของชีวิต สังคม อำนาจ และพลวัตการเปลี่ยนแปลง  

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาปริญญาโทสาขาสังคมศาสตร์สิ่งแวดล้อมจึงลึกซึ้งเกินกว่าการได้ “ข้อมูล” เพราะภาคสนามครั้งนี้ทำให้ผู้เรียนพัฒนา Learning Outcomes สำคัญหลายด้าน ได้แก่  

1) Spatial & Ecological Literacy 

นักศึกษามองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างฤดูกาลสัตว์น้ำ ระบบนิเวศชายฝั่ง และกิจกรรมของมนุษย์ ผ่านการสัมภาษณ์ การสังเกต และการทำแผนที่ร่วมกับชุมชน 

2) Research Mindset & Qualitative Methods 

เครื่องมือภาคสนาม เช่น การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม การบันทึกภาคสนาม และ Thematic Analysis ทำให้นักศึกษาพัฒนาทักษะการวิจัยเชิงคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม 

3) Interdisciplinary Thinking 

เมื่อนักศึกษาทำงานร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์และ Social Lab พวกเขาได้เห็นว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่อาจอธิบายด้วยชุดความรู้เพียงมิติเดียว การทำความเข้าใจต้องอาศัยทั้งข้อมูลวิทยาศาสตร์ ข้อมูลชุมชน และการวิเคราะห์เชิงสังคมวัฒนธรรมควบคู่กัน 

4) Empathy & Social Engagement 

การฟังเสียงชุมชนอย่างเคารพ เรียนรู้เคียงข้างชาวประมง และเห็นความเปราะบางของวิถีชีวิตชายฝั่ง ทำให้นักศึกษาพัฒนาทักษะที่เรียกว่า “Social Sensibility” คือ ความไวต่อปัญหาที่แท้จริงของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของงานสังคมศาสตร์สิ่งแวดล้อม 

5) Ability to Co-create Knowledge 

นักศึกษาตระหนักว่าความรู้ไม่ได้มาจากมหาวิทยาลัยฝ่ายเดียว แต่เกิดขึ้นจากการร่วมสร้างกับชุมชน ผ่านกระบวนการ mapping, reflection และการคืนข้อมูลอย่างมีส่วนร่วม  

ท้ายที่สุด โครงการนี้แสดงให้เห็นว่า “ความร่วมมือข้ามศาสตร์” มิใช่คำเชิงนโยบายที่ฟังดูสวยงาม หากแต่เป็นกระบวนการทำงานที่ต้องอาศัยการเปิดพื้นที่ให้ศาสตร์แต่ละด้านมองเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน การที่คณะศิลปศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และ Social Lab เดินไปด้วยกัน ทำให้นักศึกษามองเห็นว่าการศึกษาไม่ใช่เพียงการรับความรู้ แต่คือการ ลงมืออยู่ในพื้นที่จริงเพื่อเรียนรู้ความซับซ้อนของโลก และเห็นบทบาทของตนในฐานะผู้ที่จะมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสังคมอย่างมีความหมาย การเรียนรู้ภาคสนามที่อ่าวระยองจึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมหนึ่งของรายวิชา หากเป็นบทพิสูจน์ว่า มจธ.สามารถสร้าง “มหาวิทยาลัยที่ทำงานร่วมกับสังคม” ได้จริง ผ่านความร่วมมือที่เคารพความรู้ทุกแบบ ตั้งแต่ระบบนิเวศทางทะเล ไปจนถึงภูมิปัญญาของชุมชนประมงที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน  อีกทั้งยังปลูกฝัง “หัวใจสีเขียว” (Green Heart) ให้พวกเขาได้สัมผัสความเปราะบางของทั้งผู้คนและระบบนิเวศอย่างลึกซึ้ง เมื่อความเข้าใจเชิงวิชาการเชื่อมกับความรู้สึกหวงแหนต่อสิ่งแวดล้อม นักศึกษาจึงก้าวออกจากพื้นที่ภาคสนามในฐานะ change agents คนรุ่นใหม่ที่มีทั้งความรู้ ทักษะ และจิตสำนึก พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างยั่งยืนในอนาคต