“ยิ่งให้ ยิ่งได้รับโอกาส”

ดร.ปรีดา บุญศิลป์

กรรมการผู้จัดการวิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี

ปริญญาตรี ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีที่เข้าศึกษา 2529

ความทรงจำสมัยเรียนที่ มจธ.

ในช่วงแรกที่เข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมยังไม่ค่อยเข้าใจว่าคำว่า “บางมด” หมายถึงอะไร หรือแม้แต่แนวคิดของ “สถาบันการศึกษาระดับชั้นนำ” ก็ยังไม่ชัดเจนมากนัก ทุกอย่างที่พบเจอจึงเป็นสิ่งใหม่ และเปรียบเสมือนความท้าทายอย่างหนึ่ง สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดคือเรื่องของ “การปรับตัว” เพื่อให้เข้ากับบางมดได้อย่างเหมาะสม ซึ่งผมเชื่อว่า บางมดมีสิ่งดี ๆ อยู่แล้วในตัวของมันเอง เพียงแต่นักศึกษาที่เข้ามาส่วนใหญ่นั้นมาจากพื้นฐานที่แตกต่างกัน ต่างคนต่างมา จึงอาจยังไม่เข้าใจแนวทางการเรียนการสอน ไม่รู้ว่าที่นี่ใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือแบบไหน รวมถึงยังไม่รู้จักระบบของครูอาจารย์ดีพอ แต่เมื่อได้เริ่มเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับอาจารย์ อาคารเรียน อุปกรณ์ และสิ่งแวดล้อมโดยรอบแล้ว ผมมองว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการปรับตัวจะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างราบรื่น หากใครที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ก็มักจะรู้สึกว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นลำบาก หรือไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง แต่สำหรับผู้ที่สามารถปรับตัวได้ดี มักจะเรียนได้ดี และยังมีเวลาเหลือพอที่จะทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้อีกด้วย การได้มีโอกาสทำกิจกรรมนอกห้องเรียน เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะช่วยให้เรามีโอกาสเปิดหูเปิดตา รู้จักผู้คนมากขึ้น และขยายวงสังคมของเราให้กว้างขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตในสังคมในอนาคต ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและสมดุล นี่เป็นเรื่องของความประทับใจที่มีต่อบางมด

ความรู้ที่ได้รับจาก มจธ. นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตการทำงานอย่างไร

ความรู้ที่เราได้จากบางมดมันเป็นความรู้เชิงลึก ตอนนี้ผมทำงานมาแล้วทั้งหมด 34 ปีจบบางมดมา 30 กว่าปี เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเราจบปริญญาตรีที่ให้ความรู้ที่เป็นความรู้เชิงลึก เพราะฉะนั้นเราสามารถนำมาทำงานได้ แล้วใช้มันแก้ปัญหาได้ดี เพราะว่าองค์ความรู้ที่เราได้มันสามารถจะนำมาใช้กับเทคโนโลยีที่มันทันสมัยได้แรก ๆ ที่ผมจบมาไปเป็นนายช่างโรงปูนซีเมนต์อยู่ที่บริษัททีพีไอที่สระบุรี แล้วไปก่อสร้างโรงงานที่นั่นองค์ความรู้เลยได้นำไปใช้เยอะ ทั้งการก่อสร้าง และถัดมามีงานซ่อมบำรุงงานผลิต งานวิเคราะห์แก้ไขปัญหา งานบริหารทั้งหมดนั่นคือองค์ความรู้พื้นฐานที่เราได้จากพระจอมเกล้าธนบุรีมา และหลังจากนั้นย้ายมาอยู่ที่โรงงาน ไออาร์พีซี ที่ระยอง ก่อนหน้านี้จะเป็นชื่อของทีพีไอไพลิน แล้วตอนหลังมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเป็นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด เราได้มีทักษะความรู้มากขึ้น ในการทำงานบริหารแล้วค่อย ๆ เริ่มไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นระดับหัวหน้าแล้วมาเป็นระดับผู้บริหารของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด หลังจากนั้นผู้บริหารระดับสูงเขาเลือกเรามาบริหารบริษัทลูกซึ่งวิทยาลัยเทคโนโลยี ไออาร์พีซี ถือว่าเป็นหนึ่งใน 7 บริษัทลูกที่ใหญ่ๆ เพราะฉะนั้นงานบริษัทเทคโนโลยีไออาร์พีซี ซึ่งกำกับดูแลวิทยาลัยเทคโนโลยี ไออาร์พีซี เรามีทุนจดทะเบียนอยู่ 750 ล้านบาท ถือว่าเราต้องมาแก้ไขสถานการณ์ที่จะทำยังไงให้การศึกษาของประเทศมันดีขึ้น โดยวิทยาลัยเทคโนโลยี ไออาร์พีซี ผลิตนักศึกษาระดับปวช. ปวส. นักศึกษาที่จบจากที่นี่ไปแล้วสามารถจะส่งเข้าตลาดแรงงาน ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยประเทศความจริงกระทรวงศึกษาธิการจะมีภาคเอกชนอย่างเราในการเข้ามาช่วยผลิต นักศึกษาที่จบออกไปจะมีคุณภาพ การที่พวกเขามีคุณภาพจะทำให้สามารถทำงานในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภาคผลิตหรือภาคบริการให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้

3 ทักษะที่สำคัญในการทำงานให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข

อย่างที่ 1 เลยคือการคิด อันที่ 2 คือการทำ อันที่ 3 คือการวางตัว ถ้าเราเชื่อว่าเราคิดดีเป็นคนคิดบวกไม่คิดลบ มันจะทำให้เราอยู่ในโลกมนุษย์ได้อย่างไม่มีความทุกข์ และเชื่อว่าถ้าเราเป็นคนที่คิดดีมันจะทำให้เรามี mindset ที่ดี อันที่ 2 คือการทำการทำต้องพยายามหลีกเลี่ยงทำไม่ดี เพราะฉะนั้นการทำดีทำสิ่งที่ถูกต้องมันจะทำให้เราสามารถที่จะได้รับผล หรือว่าได้ผลลัพธ์อะไรที่ดี ๆ ตอบแทนกลับคืนมา เป็นสิ่งที่เราต้องพยายามมองให้ได้อันที่ 3 เป็นเรื่องของการวางตัวเรื่องของการวางตัวเป็นเรื่องที่แต่ละคนอาจจะมีไม่เท่ากัน การวางตัวมันเป็นลักษณะของการที่เราต้องมองเรื่องบุคลิกลักษณะ เราเป็นแบบไหนแต่องค์กรเราเป็นลักษณะไหน วัฒนธรรมองค์กรเป็นอย่างไร เราสามารถจะมาแมปปิ้งกับองค์กรได้อย่างไร เราต้องพยายามที่จะปรับตัวเข้าหาองค์กรให้ได้ ในขณะเดียวกันเมื่อวันหนึ่งเรามาเป็นผู้บริหารซึ่งปัจจุบันถือว่าผมเป็นผู้บริหารสูงสุดแล้วของวิทยาลัยเทคโนโลยี ไออาร์พีซี ก็เห็นความแตกต่างหลากหลายของบุคลากร ทำอย่างไรเราถึงจะให้บุคลากรปรับตัว ให้เขาพยายามยกโลกส่วนตัวออก ยกกำแพงออกแล้วสามารถมาร่วมมือทำงานร่วมกันได้ ผมตั้งใจสร้างที่นี่ให้เป็นดรีมทีมนั่นหมายถึงว่าทุกคนฝันให้ไกลและเราต้องพยายามไปให้ถึง ดรีมทีมเป็นตัวบ่งบอกว่าเราทุกคนจะต้องมีความรักผูกพันและศรัทธาต่อกัน แล้วมันจะทำให้เราสามารถทำงานร่วมกันได้สำเร็จไม่ได้มองที่ตัวคนใดคนหนึ่งเป็นหลักเพราะฉะนั้นการที่เรามองทีม มององค์กร มองเป้าหมาย มันจะทำให้ทุกคนพร้อมที่จะจับมือแล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยกันไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การมาปฏิวัติที่นี่ การมาแก้ไขปัญหาที่นี่ ทำให้เราเห็นปัญหามากมาย เลยทำให้เราสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้มากมาย ที่นี่กำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ เราเพิ่มจำนวนนักศึกษาขึ้นเรื่อย ๆ รายได้ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน นักศึกษาเพิ่มมากขึ้นอนาคตของเราก็เพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้าวิทยาลัยเทคโนโลยี ไออาร์พีซี จะเป็นวิทยาลัยในระดับชั้นนำที่ปัจจุบันเราได้มาตรฐานของ apac แล้ว เขาเรียกว่าเป็นมาตรฐานของประเทศเอเชียแปซิฟิกในระดับเหรียญทอง เราพยายามจะก้าวไปสู่แพลตตินั่มในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก เราได้ 1 ใน 4 excellence เป็นเอกชนเดียวที่ได้ 4 excellence เราก็พยายามจะเพิ่มความเป็น excellence มากขึ้น และสุดท้ายเราต้องพยายามให้ทุกสาขาวิชาเราได้รับ excellence ด้วยมันจะทำให้วิทยาลัยเรามีความเป็นหนึ่งและเป็นที่พึ่งของประเทศได้ เป็นที่พึ่งของผู้ที่ต้องการนักศึกษาเข้าไปทำงานได้

ฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังจะจบการศึกษา

สิ่งแรกคือคิดให้เป็น อันที่ 2 ต้องเป็นคนทำให้และสุดท้ายคือ “การเสียสละ” ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญของคนดี เป็นแก่นแท้ของการทำความดี การรู้จักให้ แบ่งปัน และช่วยเหลือผู้อื่น จะนำพาสิ่งดี ๆ กลับคืนมาสู่ตัวเราเสมอ ในทางตรงกันข้าม หากเราไม่เคยให้อะไรเลย ไม่เคยเปิดโอกาสให้ใคร ไม่เคยช่วยเหลือใคร ก็จะยากที่คนอื่นจะยื่นมือกลับมาช่วยเราเมื่อถึงเวลา อยากให้น้อง ๆ ทุกคนลองพิจารณาเรื่องเหล่านี้ให้ลึกซึ้ง เพราะ ยิ่งให้ยิ่งได้รับโอกาส บางทีมันหายากกว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวด้วยซ้ำไป ให้สิ่งที่ให้ได้ก็ทำให้เรามีความสุข และสุดท้ายแล้วเราจะได้รับอะไรเป็นการตอบแทนกลับคืนมา ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืน ฝากถึงน้อง ๆ และให้กำลังใจทุกคน